KEY
POINTS
ภาคธุรกิจไทยโดยเฉพาะกลุ่มอาหารและค้าปลีก กำลังปรับตัวรองรับไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วง ไฮซีซันการจับจ่ายและเทศกาลปลายปี หลังพบปัจจัยท้าทายหลายด้าน ทั้งเงินบาทแข็งค่าที่ส่งผลต่อธุรกิจส่งออกต่อเนื่อง และภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ 19% ที่กระทบการค้ากับตลาดโลก
ดร.องอาจ กิตติคุณชัย นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป (TFPA) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) หรือ SUN เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สถานการณ์ของภาคธุรกิจในไตรมาส 4 โดยเฉพาะธุรกิจส่งออก ยังได้รับผลกระทบรุนแรงจากเงินบาทแข็งค่ามากเกินไป
รวมถึงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ แม้ผู้ประกอบการจะรู้ว่าต้องเสีย 19% แต่เหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน การค้าขายจึงไม่ปกติ ทางออกของหลายคนในตอนนี้ต้องประสานงานกับคู่ค้าหรือลูกค้าเพื่อปรับตัวร่วมกัน เช่น การขึ้นราคาสินค้า นอกจากนี้ภาพรวมในตลาดโลกและเศรษฐกิจโลกยังมีความปั่นป่วนพอสมควร
ดังนั้นด้านการส่งออก SUN ต้องปรับราคาให้กับลูกค้าและพยายามลดต้นทุน ขณะเดียวกันในไตรมาส 4 ต้องเร่งพัฒนาสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด โดยเฉพาะอาหารที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของสุขภาพ 2-3 รายการ เพื่อรักษาเป้ารายได้ การลงทุนเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต พร้อมขยายตลาดส่งออกผ่านการพบปะลูกค้าและเข้าร่วมงานแสดงสินค้า การขยายความร่วมมือกับร้านสะดวกซื้อในประเทศพัฒนาสินค้าใหม่เพิ่มขึ้น เพื่อเน้นการตลาดและสร้างโอกาสใหม่ ๆ
ด้านนายนาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ ประธานคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกรรมการผู้จัดการ บริษัท โควิก เคทท์อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า อุตสาหกรรมหรือธุรกิจด้านสุขภาพและความงาม รวมถึงกลุ่มอาหารเสริมและเครื่องสำอาง ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2568 แต่ทิศทางตลาดค่อนข้างเป็น Red Ocean มีผู้เล่นในตลาดเพิ่มขึ้น
การแข่งขันดุเดือดโดยเฉพาะด้านราคา และหากดูในเชิงปริมาณด้านการผลิตและจำนวนยอดขายค่อนข้างดี ทว่ามูลค่าการขายราคาต่อชิ้นกลับมีแนวโน้มเบาบางลง ดังนั้น บริษัทซึ่งรับจ้างผลิต (OEM) ในอุตสาหกรรมนี้ ต้องปรับรูปแบบของการขายในไตรมาส 4 โดยพยายามเจาะตลาดกลุ่มเล็ก ไปสู่รายย่อยมากขึ้น จับกลุ่ม KOL และ Influencer ที่มีความน่าเชื่อถือและราคาเข้าถึงได้
นายมิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ จำกัด กล่าวว่า ผลประกอบการของธุรกิจในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2568 นี้ ติดลบและเลวร้ายกว่าปี 2567 โดยเฉพาะไตรมาส 2-3 ถือว่า "ดิ่งเหว" ฉะนั้นโอกาสจากนโยบายภาครัฐในไตรมาส 4 คือความหวังว่ากำลังซื้อจะกระเตื้องขึ้น ต้องเตรียมทำโปรโมชันจัดหนักไว้รอลูกค้า
ต้องคุมสต็อกให้ดีและต่อรองกับซัพพลายเออร์ในช่วงสิ้นปีเพื่อปิดตัวเลข โดยยังคงไม่มีการลงทุนเพื่อขยายธุรกิจเพิ่มแต่อย่างใด แต่อาจต้องลงทุนเพื่อลดค่าใช้จ่าย คุมเรื่องค่าน้ำ ค่าไฟ เช่น นำโซลาร์เซลล์เข้ามาติดตั้ง เพราะถึงอย่างไรธุรกิจยังคงฝ่าวิกฤตอยู่ และต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป
นายอรุณ เรืองจรุงพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยสเตนเลสสตีล จำกัด กล่าวว่า ไตรมาส4 ภาพรวมตลาดเครื่องครัวโดยรวมทรงตัวและแทบไม่มีการเติบโตตั้งแต่ช่วงโควิด-19 แต่บริษัทยังคงปรับตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ตลาดเครื่องครัวเดิม
เช่น หม้อ กระทะ ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัวและการลดลงของโครงการอสังหาริมทรัพย์และร้านอาหารใหม่ ทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อสินค้าที่ไม่ใช่ของจำเป็นเร่งด่วน ส่งผลให้ยอดขายลดลงประมาณ 20% ในช่วงสองปีที่ผ่านมา
โดยปลายปีนี้บริษัทได้รุกตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กอย่างจริงจัง ออกแบรนด์ใหม่ "Seagull Electric" เน้นตลาด B2B เป็นหลัก โดยการเข้าสู่ตลาด B2C ครั้งนี้ถือเป็นการวางแผนระยะยาวที่บริษัทเตรียมมาก่อนหลายปีบริษัทลงทุนในเครื่องจักรและเทคโนโลยีใหม่อย่างต่อเนื่องทุกปี เพื่อยกระดับความแม่นยำและประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งคาดว่ายอดขายจะปรับตัวดีขึ้นตามฤดูกาลจับจ่ายซื้อของขวัญ บริษัทจึงวางแผนจัดโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้าและสร้างความคุ้มค่าให้ผู้บริโภค โดยไม่ลดทอนคุณภาพและดีไซน์ของสินค้า
สอดรับกับแผนธุรกิจของทายาท “ชาตรามือ”ที่ต้องปรับตัวเพื่อรองรับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในไตรมาส 4 เช่นกัน โดยนางสาวพราวนรินทร์ เรืองฤทธิเดช กรรมการบริหาร แบรนด์ชาตรามือ กล่าวว่า ยังคงเติบโตต่อเนื่องแม้ต้องเจอการแข่งขันทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะต้นทุนใบชาคุณภาพสูงจากเชียงใหม่–เชียงรายที่ปรับตัวขึ้น
โดยปลายปีนี้บริษัทยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในทุกด้าน ทั้งรสชาติ บรรจุภัณฑ์ และรูปแบบการบริโภค เช่น การขยายไลน์สินค้า Ready-to-drink การจับมือพาร์ทเนอร์พัฒนาเมนูพิเศษ เป็นต้น รวมทั้งการขยายสาขาทั้งในกรุงเทพฯ หัวเมืองใหญ่ และในเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา
ขณะที่ตลาดสมุนไพรไทยที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ก็ยังต้องปรับแผนในไตรมาส 4 โดยนายสิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานบริษัท บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ JSP กล่าวว่า กำลังซื้อที่น้อยลง วัยทำงานประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น สิ่งที่น่ากังวลคือนโยบายของรัฐบาลที่มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้การลงทุนจากต่างชาติอาจจะลดลง
ทำให้บริษัทต้องปรับตัวให้รองรับกับสถานการณ์โดยรวม โดยบริษัทมีแผนออกสินค้าใหม่ 10 รายการต่อปี นอกจากนี้กำลังจะร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อรุกช่องทางออนไลน์ต่างประเทศ นอกเหนือจาก CLMV และ เน้นขยายตลาดออนไลน์ เช่น TikTok Shopee Lazada รวมถึงวางแผนกระจายตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติสำหรับยา ปัจจุบันมี 200 ตู้ ตั้งเป้า 500 ตู้ในอนาคตด้วย
ด้านนายดุสิต สุขมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเจมาร์ทโมบาย จำกัด กล่าวว่า ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้เจมาร์ทโมบาย มุ่งขยายสาขาให้ครอบคลุมมากขึ้นโดยเฉพาะเมืองรอง ขณะเดียวกันมองว่าไตรมาสสุดท้ายจะมีซัพพลาย iPhone 17 เข้ามากขึ้น เช่นเดียวกันสมาร์ทโฟนจีน ที่ทยอยเปิดตัวสู่ตลาด ทำให้การแข่งขันเพิ่มขึ้น โดยมีการจัดโปรโมชันออกมากระตุ้นและสร้างการรับรู้ในตลาดมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดเติบโตขึ้น เช่นเดียวกับโครงการคนละครึ่ง ที่เข้ามากระตุ้นจับจ่ายใช้สอย
เช่นเดียวกับนางสาวสุธิดา มงคลสุธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซินเน็ค (ประเทศไทย) หรือ SYNNEX ที่ระบุว่า กระแสการเปิดตัว iPhone 17 ของ Apple ได้รับความนิยมเกินคาด เป็นแรงหนุนสำคัญต่อยอดขายซินเน็ค ในช่วงโค้งสุดท้ายของไตรมาส 3 และต่อเนื่องสู่ไตรมาส 4 ปี 2568 ซึ่งถือเป็นไฮซีซันของตลาดสมาร์ทโฟน และแสดงถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ยังคงแข็งแกร่งต่อสมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงของ Apple
นอกจากนี้ สินค้ากลุ่ม Communication และ AI Device เป็นไฮไลท์ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นตามเมกะเทรนด์ AI และการเชื่อมต่ออัจฉริยะ สอดรับกับรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ (Device Replacement Cycle) และการเปิดตัวสินค้า Flagship จากหลากหลายแบรนด์ในช่วงปลายปี จึงมั่นใจว่า แนวโน้มตลาดไอทีในช่วงโค้งสุดท้ายของปีจะยังคงสดใส หนุนเป้าหมายรายได้ปี 2568 เป็นไปตามแผนที่วางไว้
ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังเผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจผันผวน กำลังซื้อหายไปจากตลาด สถาบันการเงินเข้มงวดสินเชื่อแม้ว่าจะมีมาตรการรัฐเข้ามาสนับสนุน ทั้งลดค่าธรรมเนียมการโอน –จดจำนองรวมถึงการผ่อนปรนมาตรการLTV ซึ่งมองว่าทำได้แค่พยุง
นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ไตรมาส4 ปีนี้ บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไปจำนวน 58 หน่วย มูลค่า 1,500 ล้านบาทเพื่อดึงกลุ่มกำลังซื้อสูงซึ่งมีผลต่อการขอสินเชื่อน้อยที่สุดบนทำเลศักยภาพย่านบางแวก พุทธมณฑลสาย 1 แวดล้อมไปด้วยโครงการชั้นนำที่ผู้ประกอบการรายใหญ่เข้าไปปักหมุดในทำเลดังกล่าว