ยักษ์ค้าปลีกภูธร ชี้รัฐบาล ‘อนุทิน‘ สัญญาณดีใช้ ‘คนละครึ่ง’ ฟื้นเศรษฐกิจ

09 ก.ย. 2568 | 22:10 น.
อัปเดตล่าสุด :09 ก.ย. 2568 | 22:41 น.

“ตั้งงี่สุน“ มองรัฐบาลใหม่มีความหวัง ชูโครงการ "คนละครึ่ง" ฟื้เศรษฐกิจ หวังนายกรัฐมนตรี “อนุทิน ชาญวีรกูล“ เป็นสุภาพบุรุษทางการเมือง สร้างผลงานเพื่อประชาชนใน 4 เดือน

KEY

POINTS

  • ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ในภาคอีสานมองว่าการนำโครงการ "คนละครึ่ง" กลับมาใช้ของรัฐบาลใหม่ เป็นสัญญาณที่ดีในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว
  • โครงการคนละครึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับรากหญ้า ทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจโดยรวม แม้ไม่ส่งผลโดยตรงต่อธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่
  • ผู้ประกอบการคาดหวังว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยให้การค้าขายฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นช่วงที่การค้ามักจะซบเซา
  • นอกเหนือจากนโยบายเศรษฐกิจแล้ว การแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีที่มีภาพลักษณ์ดีและเป็นมืออาชีพก็เป็นอีกปัจจัยบวกที่สร้างความเชื่อมั่น

นายมิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ จำกัด ผู้ประกอบการค้าปลีก-ค้าส่ง รายใหญ่ในภาคอีสาน เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า การทำงานของรัฐบาลใหม่ในช่วง 4 เดือนแรก ที่เริ่มประกาศนำโครงการ "คนละครึ่ง" กลับมาใช้ นับเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัว หลังจากอยู่ในสภาะวะตกต่ำมานานนับปี แม้อาจไม่เห็นผลลัพธ์มากนัก แต่น่าจะสามารถทำให้สถานการณปัจจุบันดีขึ้นได้

แม้โครงการนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจค้าส่ง-ค้าปลีกขนาดใหญ่โดยตรง แต่ช่วยหมุนเวียนเศรษฐกิจในระดับรากหญ้าได้ดี เมื่อประชาชนมีเงินใช้จ่ายอาจนำเงินส่วนนั้นจะมาซื้อสินค้าจากแม่ค้าพ่อค้า และเงินจะหมุนเวียนไปซื้อวัตถุดิบจากรายใหญ่ ทำให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวม เปรียบเสมือน "น็อตตัวแรก" ของเครื่องยนต์ที่เริ่มทำงานและหล่อลื่นส่วนอื่น ๆ

"การกลับมาของโครงการคนละครึ่งเป็นเหมือนแสงเทียนเล็ก ๆ ที่ปลายอุโมงค์ ที่เป็นข่าวดี เพราะทุกอย่างในประเทศไทยตอนนี้อาจพูดได้ว่าอยู่ในจุดต่ำที่สุด ไม่ว่าจะเป็นประชาชน เศรษฐกิจ หรือปัญหาชายแดนกับกัมพูชา ดังนั้น เพียงแค่ทำอะไรเล็กน้อยก็ถือว่าดีขึ้นมากแล้ว ซึ่งโครงการนี้ในสมัยรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชาได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถหมุนเวียนเงินได้จริง และประชาชนออกมาใช้เงินจริง โดยคาดหวังว่าการค้าขายจะดีขึ้นในช่วงไตรมาส 3 เป็นต้นไป ซึ่งปกติเป็นช่วงที่เงียบที่สุด"

นายมิลินทร์ กล่าวว่า สิ่งสำคัญอีกอย่างคือการตั้งคณะรัฐมนตรี บุคลากรแต่ละคนถือว่ามีภาพลักษณ์ค่อนข้างดี โดยเฉพาะรัฐมนตรีพาณิชย์คนใหม่ที่ดูมีประวัติการทำงานดี และอีกหลายคนก็ล้วนมองว่าเป็นมืออาชีพ แม้ในช่วง 4 เดือนนี้ รัฐบาลไม่ได้ถูกกดดันในการเลือกคนทำงาน ทำให้สามารถเลือกคนตามที่ต้องการได้ แต่แน่นอนว่าต้องทำงานอย่างระมัดระวังภายใต้กรอบเวลา เพราะจะสามารถส่งผลต่อการเลือกตั้งในอนาคต

ส่วนทิศทางการเมืองในตอนนี้มองว่าน่าจะเป็นช่วงการ "ผ่าทางตันประเทศไทย" และเป็นบทเรียนที่จะทำให้การเมืองไทยพัฒนาไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น และมีความเป็น "สุภาพบุรุษทางการเมือง" มากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากอดีตที่ ส.ส. ไม่มีสัจจะ

อย่างการแต่งตั้งรัฐมนตรีกลาโหม ยังคงเป็น "บิ๊กเล็ก" แสดงให้เห็นถึงความต่อเนื่องในการแก้ปัญหาสำคัญเรื่องไทย-กัมพูชา โดยไม่มีการเปลี่ยน "ม้ากลางศึก" และอย่างไรก็ตาม ต้องมาดูกันว่ารัฐบาลชุดนี้จะไปได้ไกลแค่ไหน เพราะถึงอย่างไรการเมืองก็ยังคงขึ้นอยู่กับเรื่องของอำนาจและเงิน