นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงมุมมองต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ว่า การจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ เป็นการผสมผสานระหว่างนักการเมือง นักวิชาการ ข้าราชการประจำและผู้บริหารจากภาคเอกชน
โดยถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการวางทิศทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมและการลงทุนของประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากทั้งในและต่างประเทศ
ทั้งนี้ ภาคอุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับการทำงานของรัฐบาลชุดนี้เป็นอย่างมาก เพราะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ขณะที่การแข่งขันระดับโลกด้านเทคโนโลยี พลังงาน และสิ่งแวดล้อมทวีความรุนแรงขึ้น สิ่งที่ทุกภาคส่วนคาดหวัง คือ การที่รัฐบาลทำงานอย่างมีเอกภาพ วางนโยบายที่ชัดเจนและต่อเนื่อง เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
“จากที่ได้มีการหารือกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 68 ที่ผ่านมา ประกอบกับ ครม. ชุดใหม่ที่โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเมื่อวันที่ 19 กันยายน ถือว่าเป็นทีม ครม.เศรษฐกิจชุดเดิมที่ได้มีการหารือร่วมกัน และมีทิศทางความเห็นที่สอดคล้องกัน”
สำหรับระยะเวลา 4 เดือนของการเป็นรัฐบาล ถือว่าท้าทายมากสำหรับการทำงาน จึงต้องการเห็นความร่วมมือ ความตั้งใจจริง และการทำงานเป็นทีมของ ครม. รวมทั้งต้องการให้นำ 5 ข้อเสนอเร่งด่วนที่ ส.อ.ท. ได้นำเสนอไว้จากการหารือที่ผ่านมา นำไปปรับเป็นมาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งจะครอบคลุมหัวข้อดังนี้
นอกจากนี้ ส.อ.ท. มุ่งยกระดับอุตสาหกรรมไทยและผลักดันอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี (EV) เศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ดิจิทัลและเทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อเพิ่มมูลค่าภาคการผลิตและสร้างความสามารถแข่งขันในระดับโลก
ด้านแรงงานถือเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญ โดย ส.อ.ท. พร้อมร่วมกับกระทรวงแรงงาน พัฒนาทักษะฝีมือแรงงานไทยให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมในอนาคต ทั้งในด้านดิจิทัล เทคโนโลยีขั้นสูง และอุตสาหกรรมสีเขียว เพื่อสร้างแรงงานคุณภาพสูงที่พร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานยุคใหม่
ในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ส.อ.ท. ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย 5G–6G การสนับสนุนเทคโนโลยี AI และ IoT รวมถึงมาตรการความมั่นคงไซเบอร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความได้เปรียบในการแข่งขันของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการรับผิดชอบของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
สำหรับด้านนวัตกรรม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นหนึ่งในกระทรวงที่มีความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยใช้นวัตกรรมเป็นพลังหลัก ประเทศไทยต้องเน้นสร้างนวัตกรรมมุ่งเป้า โดยใช้จุดแข็งของไทยนำมาต่อยอด เช่น ความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งไทยถือเป็นความได้เปรียบ ไปสู่เกษตรสมัยใหม่หรืออัจฉริยะ เพื่อพัฒนาวัตถุดิบป้อนไปสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายต่างๆ ซึ่งจะช่วยยกระดับรายได้ให้เกษตรกรซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของประเทศ
อย่างไรก็ดี จำเป็นต้องนำนวัตกรรมและเทคโนโลยี AI มายกระดับศักยภาพบุคลากร ผ่านการจัดทำหลักสูตรที่ช่วย Upskill (ยกระดับทักษะเดิม) Reskill (เรียนรู้ทักษะใหม่) และ Newskill (สร้างทักษะใหม่ที่จำเป็นในอนาคต) เช่น การประยุกต์ใช้ AI และการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อสร้างกำลังคนคุณภาพ ตอบโจทย์ตลาดแรงงานและภาคอุตสาหกรรม
อีกทั้งต้องเพิ่มมูลค่าสินค้าและสร้างความแตกต่างด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ไม่ใช่เพียงการแข่งขันด้านราคา เพื่อให้สินค้าของไทยมีความโดดเด่นและสามารถแข่งขันได้ในระยะยาว ซึ่งทั้งหมดนี้ คือ แนวทางสู่การยกระดับประเทศไทยให้เป็นประเทศที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมอย่างมั่นคงและยั่งยืน
สำหรับภาคการท่องเที่ยวและกีฬา ในช่วงครึ่งปีหลัง ส.อ.ท. มองว่าภาครัฐควรมีมาตรการประชาสัมพันธ์เชิงรุก สร้างความเชื่อมั่นเพื่อดึงนักท่องเที่ยวกลับมา และจัดแพ็กเกจท่องเที่ยวไปยังเมืองรอง เพื่อกระจายรายได้ให้ทั่วถึง โดยไม่กระจุกตัวเพียงจังหวัดใหญ่ๆ เพียงแค่ 4-5 จังหวัด
ส่วนระยะยาวควรปรับโครงสร้างด้านความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว พร้อมฟื้นฟูการท่องเที่ยวมูลค่าสูง (High-value Tourism) และสนับสนุนอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านการจัดประชุมและงานแสดงสินค้า (MICE) เพื่อสร้างรายได้และกระจายเม็ดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจท้องถิ่น
“4 เดือนแรกต้องเห็นผลลัพธ์แบบ Quick Win และอีก 4 เดือนถัดมาก็ควรเน้นการประคองให้ต่อเนื่อง สิ่งสำคัญที่สุด คือ การแปลงนโยบายเป็นการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและชัดเจน หากรัฐบาลสามารถทำได้เช่นนี้ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน และเสริมความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจไทย”