KEY
POINTS
ผศ.ดร.เอกก์ ภทรธนกุล อุปนายกฝ่ายกิจกรรม การสื่อสารและการตลาดยั่งยืน สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย และหัวหน้าภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า “คนละครึ่ง” เป็นมาตรการที่มีผลเชิงบวก แต่เป็นเพียง “ยาแรงระยะสั้น” ที่ไม่สามารถพยุงเศรษฐกิจได้ในระยะยาว
“คนละครึ่งเปรียบเสมือน “การฉีดวิตามิน” เข้าสู่ร่างกายที่อ่อนแอ เมื่อฉีดแล้วประชาชนรู้สึกสดชื่นขึ้นทันที แต่ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่นาน ต้องหายาใหม่มาฉีดต่อ อย่างไรก็ตาม ในภาวะที่เศรษฐกิจเปราะบางเช่นนี้ การใช้มาตรการลักษณะนี้ถือว่ามีความจำเป็น”
ทั้งนี้การใช้จ่ายในประเทศเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าได้อย่างแข็งแรง เพราะกำลังซื้อภายในมีเพียงประชากรกว่า 60 ล้านคนและนักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งเท่านั้น จึงจำเป็นต้องมีมาตรการเสริมที่สร้างแรงกระเพื่อมในระดับโลก
ดังนั้นควรเร่งดำเนินการใน 3 เรื่องควบคู่ไปกับคนละครึ่ง ได้แก่
1. กระตุ้นการลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะการฟื้นโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่เคยเป็นแม่เหล็กดึงดูดเงินลงทุน แต่ถูกชะลอไปก่อนหน้านี้
2. เร่งการใช้จ่ายภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ-เน้นให้งบลงทุนถูกนำออกมาใช้ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณเดือนตุลาคม แทนที่จะรอจนถึงกลางหรือปลายปี เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจทันที
3. บรรเทาผลกระทบด้านการค้าระหว่างประเทศ-โดยเฉพาะการแก้ปัญหากำแพงภาษีจากสหรัฐฯ ที่ขณะนี้ไทยเผชิญอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 19% ซึ่งหากขับเคลื่อนได้จริง จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยแข็งแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในระยะสั้น และสร้างฐานสำหรับการเติบโตในระยะยาว
ด้านนางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย กล่าวว่า มาตรการคนละครึ่งยังมีความไม่แน่นอนอยู่พอสมควร โดยเฉพาะเรื่องแผนการดำเนินการระยะต่อไป ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำหรับสมาคมภัตตาคารไทย การมีโครงการนี้ช่วยเพิ่มรายได้และสร้างความมั่นใจในช่วงสั้น
แต่การกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมยังต้องพึ่งพามาตรการเสริมอื่น ๆ เช่น การลงทุนระยะยาว การพัฒนาสินค้าและบริการ และการสนับสนุนจากภาครัฐและหอการค้า เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อ GDP อย่างแท้จริง เธอย้ำว่า การปรับปรุงนโยบายและการพัฒนาเศรษฐกิจต้องเกิดเป็นลูปต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนและปรับตัวได้
โครงการ “คนละครึ่ง” เป็นเหมือน “ยาแก้ปวด” ช่วยบรรเทาความยากลำบากและสร้างความพึงพอใจให้ประชาชน แต่ต้องมีมาตรการอื่น ๆ เสริมเข้ามาเพื่อสร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ทั้งนี้ สมาคมภัตตาคารไทยเองก็มีการติดตามและปรับตัวต่อสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
อย่างไรก็ดี ข้อเรียกร้องโครงการคนละครึ่งที่นำเสนอได้แก่ 1. ขอเพิ่มวงเงินจาก 150 บาทเป็น 200 บาทต่อวัน ซึ่งการเพิ่มวงเงินเป็น 200 บาทต่อวัน อีกทั้งขอเพิ่มวงเงินรวมต่อเดือนเป็น 3,000 บาท สำหรับผู้ที่เข้าร่วมโครงการในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งจะช่วยร้านอาหารและผู้ประกอบการในภาคธุรกิจนี้ที่กำลังเผชิญกับวิกฤตจากภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะร้านที่มีต้นทุนสูง
ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าพื้นที่ ค่าจ้างแรงงาน และการเสียภาษีต่าง ๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจอย่างมาก ดังนั้นการเพิ่มวงเงินเป็น 3,000 บาทต่อเดือนจะช่วยให้ผู้ใช้โครงการมีเงินสนับสนุนในการจับจ่ายใช้สอยได้มากขึ้นในช่วงวิกฤตนี้
นอกจากนี้ เดือนตุลาคม เป็นเดือนที่สำคัญในการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย เนื่องจาก ร้านอาหาร หลายแห่งต้องเผชิญกับภาระทางการเงินที่สะสมมาตั้งแต่ต้นปี โดยเฉพาะในช่วง เดือนเมษายน-กันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งร้านอาหารส่วนใหญ่พบว่าการดำเนินการในช่วงนี้ไม่สามารถทำกำไรได้มาก จึงจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในรูปแบบของการเพิ่มวงเงินในโครงการคนละครึ่ง เพื่อให้ร้านอาหารมีเงินหมุนเวียนในการทำธุรกิจต่อไป
2. ขอให้นิติบุคคลเข้าร่วมโครงการได้ โดยให้นิติบุคคลที่เป็นร้านอาหารเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งได้ เนื่องจากในครั้งก่อนนั้นนิติบุคคลถูกตัดสิทธิ์จากโครงการคนละครึ่งและถูกแยกไปอยู่ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันซึ่งไม่เหมาะสมสำหรับร้านอาหารที่ต้องการช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายภายในร้าน ในการนี้ สมาคมได้เสนอให้รัฐบาลเปิดโอกาสให้นิติบุคคลที่เป็นร้านอาหารเข้าร่วมโครงการเพื่อให้โครงการนี้สามารถครอบคลุมร้านอาหารทุกรูปแบบที่มีการจดทะเบียนและเสียภาษี
3. ขยายสิทธิ์ให้กลุ่มเปราะบาง หมายถึงผู้ที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากภาครัฐ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และกลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อย ซึ่งในครั้งก่อนกลุ่มนี้ไม่ได้รับสิทธิ์ในการใช้โครงการคนละครึ่ง จึงเสนอให้กลุ่มนี้สามารถใช้โครงการได้เหมือนกัน เนื่องจากเงินช่วยเหลือจากภาครัฐที่พวกเขาได้รับนั้นมีจำนวนไม่เพียงพอในการดำรงชีวิตในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้
นายดุสิต สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด ผู้จัดจำหน่ายสินค้าเทคโนโลยี โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์เสริมชั้นนำของประเทศไทย ผ่านเชนสโตร์ “เจมาร์ท” กล่าวว่า เห็นด้วยกับรัฐบาลที่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา โดยเฉพาะการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน และการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยผ่านโครงการคนละครึ่ง
แม้ว่าโครงการดังกล่าวจะส่งผลทางอ้อมกับร้านค้ามือถือ แต่ช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายในชีวิตของประชาชน ทำให้มีเงินเหลือมาซื้อมือถือ และอุปกรณ์ โดยโครงการที่น่าจะส่งผลโดยตรงกับธุรกิจมือถือ คือ Easy E-Receipt ที่ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนมากกว่า ซึ่งมองว่ารัฐควรดำเนินการโครงการดังกล่าวต่อเนื่อง
ขณะที่นายปรเมศร์ เหรียญเจริญสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอปเปอร์ ไวร์ด จำกัด (มหาชน) หรือ CPW ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกและตัวแทนจำหน่ายสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียม กล่าวว่า นโยบายคนละครึ่ง ที่รัฐบาลเร่งผลักดันออกมาไม่ส่งผลกระตุ้นกำลังมือถือ และอุปกรณ์ โดยตรง แต่ช่วยในเรื่องของการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่นค่าอาหาร หรือค่าเดินทาง และมีเงินเหลือมาซื้อมือถือและอุปกรณ์ ในฐานะผู้ประกอบการมองว่า โครงการ Easy E-Receipt น่าจะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยมากกว่า