KEY
POINTS
นายณัฐกร วุฒิชัยพรกุล นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 30 หรือ Book Expo Thailand 2025 เป็นอีเว้นท์ใหญ่ที่สำนักพิมพ์และนักอ่านรอคอย ซึ่งการจัดงานที่ผ่านมาประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการจัดงานภายใต้แนวคิดต่างๆ ทำให้มีสีสัน และมีรูปแบบที่โดดเด่นขึ้น
ดังนั้นในงานมหกรรมหนังสือฯ ครั้งนี้ จึงเกิดขึ้นภายใต้แนวคิด “Melody of Books - อ่านหรือยัง ฟังหรือเปล่า” เพื่อเป็นการขยายขอบเขตของการเสพสื่อ การหาความรู้ และความบันเทิงจากหลากหลายมิติที่ผสานร่วมกัน ไม่ใช่แค่จากการอ่านเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการรับรู้ผ่านช่องทางต่างๆในโลกยุคปัจจุบัน ที่สามารถเลือกอ่านหนังสือ หรือจะฟังเรื่องราวจากหนังสือผ่านพอดแคสต์ หรือออดิโอบุ๊ก
“ปัจจุบันหนังสือไม่ได้มีเฉพาะรูปเล่มเท่านั้น แต่ยังถูกแปลงไปเป็นรูปแบบอื่น ๆ ด้วย เช่น หนังสือเสียง ฯลฯ รวมไปถึงการนำเสนอในหลากแพลตฟอร์ม เช่น พอดแคสต์หรือออดิโอบุ๊ก การจัดงานมหกรรมหนังสือฯ ในครั้งนี้ ภายใต้แนวคิด “Melody of Books - อ่านหรือยัง ฟังหรือเปล่า” จึงมุ่งขยายขอบเขตของการเสพสื่อ การหาความรู้ และความบันเทิงจากหลากหลายมิติที่ผสานร่วมกัน ไม่ใช่แค่จากการอ่านเท่านั้น”
สำหรับการจัดงานในครั้งนี้มีสำนักพิมพ์และบริษัทชั้นนำเข้าร่วมจำหน่ายกว่า 900 บูธ จาก 400 สำนักพิมพ์จำหน่ายหนังสือกว่า 2 ล้านเล่ม พร้อมกับการเปิดตัวหนังสือปกใหม่อีกกว่า 2,000 ปก โดยจัดสรรพื้นที่ออกเป็น 6 โซน ได้แก่ 1.โซนหนังสือนิยายและวรรณกรรม 2.โซนหนังสือทั่วไป 3.โซนหนังสือเก่า 4.โซนหนังสือเด็กและการศึกษา
5.โซนหนังสือการ์ตูนและวัยรุ่น, และ 6.โซน NON BOOK และบอร์ดเกม นอกจากนี้สมาคมฯ ยังร่วมกับกรมส่งเสริมวัฒนธรรม, คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านหนังสือ คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ร่วมจัดนิทรรศการ, กิจกรรมบนเวที และอบรมสัมมนา รวมกว่า 100 รายการ
อาทิ นิทรรศการ View ’til Touch : นิทรรศการอินเทอร์แอคทีฟที่ชวนให้ผู้เข้าชมมีส่วนร่วมกับ “หนังสือที่กลายเป็นเพลง” และ “เพลงที่กลับกลายเป็นหนังสือ”, Read for The Blind : นิทรรศการที่จัดขึ้นเพื่อประชาสัมพันธ์และเผยแพร่การอ่านหนังสือแบบเสียงให้กับ “ผู้พิการทางสายตา”, Little Read Universe: Playful Reading จักรวาลอ่านเล่นเล่น : นิทรรศการส่งเสริมวัฒนธรรมการอ่าน
เล่นสนุกกับเจ้าขุนทอง : ครั้งแรก! กับการแสดงของ “เจ้าขุนทองและผองเพื่อน” พบกับการแสดงดนตรีสดผสมผสานการแสดงหุ่นมือ โดยนำเสนอศิลปะที่มีความหลากหลาย เช่น ดนตรี การร้อง การเล่านิทาน ละคร และการเคลื่อนไหว
Author’s Salon (A02) : เวทีสัมมนา ที่เปิดพื้นที่ให้กับนักเขียนอิสระ นักเขียนทุกประเภท รวมถึงผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ได้มีโอกาสนำเสนอผลงาน แบ่งปันองค์ความรู้ แนวคิด และประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์แก่นักอ่านพบปะพูดคุยระหว่างนักเขียนและนักอ่าน, Book Symposium : การสัมมนาแลกเปลี่ยนความรู้ ระหว่างภาคส่วนต่างๆ ของวัฒนธรรมหนังสือในประเทศไทย
PUBAT CONTEST : พบกับ การประกวดเล่านิทาน การประกวดแต่งเพลง “ส่งเสริมการอ่าน” และ การแข่งขันโต้วาที ในระดับมัธยมศึกษา โดยมีกูรูในวงการโต้วาทีอย่าง คุณกรรณิการ์ ธรรมเกสร,อ.อภิชาติ ดำดี, อ.พะเยาว์ พัฒนพงศ์ ร่วมเป็นกรรมการ เป็นต้น
“แม้ปัจจุบันสภาพเศรษฐกิจจะมีความท้าทายในการผลักดันยอดขายและดึงดูดให้ผู้เข้าร่วมงาน แต่เชื่อว่าด้วยรูปแบบการจัดงาน ที่มีกิจกรรมหลากหลาย รวมถึงการเปิดตัวหนังสือใหม่ที่มีมากกว่า 2,000 ปก จะเป็นแรงดึงดูดให้นักอ่านเข้ามาเลือกซื้อหนังสือมากขึ้น โดยงานมหกรรมหนังสือฯจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 9 - 19 ตุลาคม 2568 ณ ฮอลล์ 5 - 7 ชั้น LG ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ รวมระยะเวลา 11 วัน คาดว่าจะมีผู้สนใจเข้าร่วมงานและเลือกซื้อหนังสือกว่า 1.3 ล้านคน และมียอดขายกว่า 400 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 5-10%”
นายณัฐกร กล่าวอีกว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมหนังสือ ต้องเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการอ่านและสภาวะเศรษฐกิจที่ยากลำบาก สิ่งสำคัญวันนี้คือ ต้องสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจหนังสือในประเทศ ต้องส่งเสริมให้สมาชิกสำนักพิมพ์ต่างๆ ปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล พร้อมยกระดับอุตสาหกรรมหนังสือไทยให้เติบโตและยั่งยืนในระยะยาว
“คนไทยส่วนใหญ่ยังคงเห็นการอ่านหนังสือเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการสอบหรือการศึกษามากกว่าความสนุกสนาน แต่เราเชื่อว่าการส่งเสริมการอ่านสามารถทำให้คนไทยมีพฤติกรรมการอ่านที่ดีขึ้น ขณะที่บทบาทของภาครัฐก็มีส่วนช่วยอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับในต่างประเทศ ถือว่ายังมีสัดส่วนที่น้อย ดังนั้นจึงอยากเสนอแนะให้รัฐบาลเพิ่มงบประมาณในการซื้อหนังสือเข้าห้องสมุดทั่วประเทศ เพื่อให้ราคาหนังสือถูกลง และกระตุ้นให้ห้องสมุดมีหนังสือใหม่ๆ ที่น่าสนใจ”
ทั้งนี้อุตสาหกรรมหนังสือยังเป็นหนึ่งใน Soft Power ของประเทศ รัฐบาลจึงจำเป็นจะต้องสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันและขับเคลื่อนในอุตสาหกรรมได้ ซึ่งวันนี้นอกจากหนังสือที่ได้รับการยอมรับและถูกนำไปแปลเป็นภาษาต่างๆ อย่างแพร่หลายในต่างประเทศแล้ว ยังมีการซื้อลิขสิทธิ์ไปจัดทำเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ สารคดี ที่หลากหลายมากมาย
โดยที่ผ่านมาสมาคมได้ผลักดันให้มีการซื้อขายลิขสิทธิ์ (Rights Trading Center) ไปแล้วคิดเป็นมูลค่ากว่า 60 ล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 100 ล้านบาทภายใน 3 ปี พร้อมทั้งส่งเสริมการแปลผลงานเป็นภาษาอังกฤษเพื่ออำนวยความสะดวกในการขายลิขสิทธิ์ไปยังต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการซื้อขายลิขสิทธิ์ในเอเชีย ดังนี้หากรัฐบาลช่วยสนับสนุนและส่งผลก็จะเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในด้านดิจิทัลและการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อเข้าถึงนักอ่านในยุคใหม่ด้วย
หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,134 วันที่ 25 - 27 กันยายน พ.ศ. 2568