อุตสาหกรรมหนังสือเป็นหนึ่งใน Soft Power ของประเทศที่สร้างทั้งเม็ดเงินมหาศาลและยังส่งผลต่อสังคมโดยรวม การขับเคลื่อนให้อุตสาหกรรมหนังสือเติบโตได้ต่อเนื่องถือเป็นความท้าทายของ “ณัฐกร วุฒิชัยพรกุล” นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) คนใหม่ ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา
“ฐานเศรษฐกิจ” ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ “บอย - ณัฐกร วุฒิชัยพรกุล” หนึ่งในผู้คร่ำหวอด คลุกคลีอยู่ในอุตสาหกรรมหนังสือเมืองไทยมากกว่า 15 ปี เริ่มต้นธุรกิจสำนักพิมพ์ ภายใต้ชื่อ สำนักพิมพ์ เวิร์ด วอนเดอร์ ด้วยจุดเด่นการนำเสนอหนังสือจากต่างประเทศทั่วโลก ที่ได้รับความสนใจอย่างแพร่หลายมาแปลเป็นภาษาไทย จนประสบความสำเร็จ และได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสมาคมให้นั่งเก้าอี้นำทัพ PUBAT
“ณัฐกร” เล่าให้ฟังว่า การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมหนังสือไทยในยุคใหม่ ต้องเผชิญกับความท้าทายมากมายทั้งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่พฤติกรรมการอ่านของประชาชนมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว นักอ่านในปัจจุบันไม่เพียงแต่เลือกหนังสือที่ตัวเองสนใจเท่านั้น แต่ยังมีความนิยมในการอ่านผ่านอีบุ๊กและคอนเทนต์ออนไลน์มากขึ้น ทำให้สำนักพิมพ์ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ล้าหลัง นอกจากนี้การเติบโตในตลาดหนังสือไทยก็มีอัตราการเติบโตที่ชะลอตัวลงในบางกลุ่ม
แนวทางการทำงานของสมาคม ประกอบไปด้วย
1. สนับสนุนให้สมาชิกเดินหน้าธุรกิจได้อย่างแข็งแรง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงและภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย ผ่านการจัดงานหนังสือฯ ถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสามารถสร้างรายได้ให้กับสมาชิก ขณะเดียวกันก็มีแนวคิดในการขยายการจัดงานไปยังหัวเมืองรอง พร้อมกับการเพิ่มกิจกรรมที่ดึงดูดผู้เข้าร่วมงานให้มากขึ้น
2. ส่งเสริมการอ่าน โดยมุ่งเน้นในการสร้างการอ่านให้เป็นที่นิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ การปรับกลยุทธ์การตลาดผ่านช่องทางออนไลน์และการใช้คอนเทนต์ครีเอเตอร์เพื่อสร้างแรงจูงใจในการอ่านให้มากขึ้น
3. จัดการและดูแลลิขสิทธิ์ ทั้งการละเมิดลิขสิทธิ์หนังสือและการจัดการกับหนังสือปลอมถือเป็นปัญหาที่สำคัญ ซึ่งสมาคมฯ ได้ให้ความสำคัญในการปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ โดยได้กำหนดมาตรการเข้มงวดเพื่อจัดการกับสำนักพิมพ์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ และจะมีการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการซื้อขายลิขสิทธิ์ (Rights Trading Center) ในเอเชีย เพื่อเพิ่มการซื้อขายลิขสิทธิ์ของหนังสือไทยในต่างประเทศ
ขณะที่แผนงานระยะยาว สมาคมฯ จะมุ่งสร้าง 1. การเชื่อมโยงสำนักพิมพ์และร้านหนังสืออิสระให้มากขึ้น เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบนิเวศของอุตสาหกรรม 2. ส่งเสริมการอ่าน กระตุ้นนักอ่านหน้าใหม่ และขยายตลาดในต่างประเทศ
3. สร้างเครือข่ายการซื้อขายลิขสิทธิ์ในระดับสากล โดยสมาคมฯ จะเป็นศูนย์กลางในการซื้อขายลิขสิทธิ์ (Rights Trading Center) ในเอเชีย ผลักดันการซื้อขายลิขสิทธิ์ที่มีมูลค่ากว่า 60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 100 ล้านบาทภายใน 3 ปี
4. การขยายการจัดงานหนังสือฯ ไปสู่เมืองรองและการสร้างรายได้ให้กับสมาชิกในภูมิภาค เช่น นครราชสีมา, สุราษฎร์ธานี, และภูเก็ต เพื่อให้สำนักพิมพ์สามารถเข้าถึงตลาดในพื้นที่นั้นๆ และช่วยสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการในท้องถิ่น และ 5. การผลักดันให้เกิดการสนับสนุนจากรัฐบาล โดยเฉพาะการจัดสรรงบประมาณในการซื้อหนังสือเข้าห้องสมุดทั่วประเทศ เพื่อสร้างโอกาสในการอ่านให้กับเด็กและเยาวชน และยังเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิตหนังสือและส่งเสริมการอ่านอย่างยั่งยืน
“ปัญหาเชิงโครงสร้างของการอ่านในประเทศไทย คนไทยส่วนใหญ่ยังคงเห็นการอ่านหนังสือเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการสอบหรือการศึกษามากกว่าความสนุกสนาน สมาคมฯ จึงมุ่งมั่นในการปรับเปลี่ยนแนวคิดนี้ โดยเชื่อว่าการส่งเสริมการอ่านสามารถทำให้คนไทยมีพฤติกรรมการอ่านที่ดีขึ้น”
ทั้งนี้อุตสาหกรรมหนังสือถือเป็นหนึ่งใน Soft Power ของประเทศ รัฐบาลจึงจำเป็นจะต้องสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันและขับเคลื่อนในอุตสาหกรรมได้ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะการซื้อลิขสิทธิ์ไปจัดทำเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ สารคดี ซึ่งหากรัฐบาลช่วยสนับสนุนและส่งผลก็จะเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น รวมถึงการลงทุนในด้านดิจิทัลและการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อเข้าถึงนักอ่านในยุคใหม่”
“ณัฐกร” บอกอีกว่า สำหรับมหกรรมหนังสือระดับชาติที่จะมีขึ้นในเดือนตุลาคมนี้ จะเกิดขึ้นภายใต้แนวคิด “Melody of Books” ซึ่งจะมีสีสัน ความสนุกสนาน ไม่แพ้ครั้งก่อนๆ พร้อมกับกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย ที่รอให้ผู้สนใจเข้าร่วม