นายพานุศักดิ์ พลาวัสถ์พงษ์ อุปนายกและประธานกลุ่มผู้ผลิตเครื่องปรุงและอาหารพร้อมรับประทาน สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป (Thai Food Processors’ Association : TFPA) เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากตัวเลขการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยในปี 2567 ที่มีมูลค่า 52,000 ล้านดอลลาร์ แต่ถูกเวียดนามซึ่งเป็นคู่แข่งในภูมิภาคเดียวกันแซงหน้าส่งออกสูงถึง 62,500 ล้านดอลลาร์ มีประเด็นชี้ชัดว่าเวียดนามได้เปรียบไทยในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายของภาครัฐที่ต่อเนื่อง ชัดเจน ค่าแรงงานก็ต่ำกว่าไทยถึง 1 ใน 3 ส่วน และไม่มี GST (Goods and Service Tax) ของยุโรป ทำให้สินค้าเกษตรของเวียดนามมีราคาแข่งขันได้ดีกว่าไทยในตลาดต่างประเทศ
ขณะที่ประเทศไทยกลับมีปัญหาเรื่องค่าแรงสูง ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เรื่องนี้ยังเอื้อประโยชน์ให้กับแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายมากกว่าคนไทย เพราะคนไทยส่วนใหญ่ไม่ต้องการเป็นแรงงานในภาคการเกษตร ผู้ประกอบการบางรายจึงเลือกจ้างแรงงานต่างด้าวในอัตราค่าจ้างเท่ากับคนไทย ประเด็นถัดมาคือปัญหาทางการเมืองที่ไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อยครั้ง โครงการและนโยบายด้านเกษตรหลายอย่างไม่มีความต่อเนื่อง
นอกจากนี้ เกษตรกรไทยยังขาดความรู้ด้านการตลาดและเทคโนโลยี ทั้งผลผลิต ยืดอายุสินค้า การเข้าถึงตลาด ใช้สารเคมีและยาฆ่าหญ้ามากเกินไป ทำให้ดินมีสารตกค้างและเสื่อมสภาพ ทั้งนิยมปลูกพืชตามกระแสโดยไม่คำนึงถึงความต้องการของตลาด ทำให้เกิดปัญหาสินค้าล้นตลาดและราคาตกต่ำ ตลอดจนมีพฤติกรรมละเมิดสัญญาซื้อขาย (Contract Farming) มากกว่า 85% เมื่อราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมในระยะยาว
นายพานุศักดิ์ กล่าวอีกว่า แม้ด้านการเกษตรไทยจะมีปัญหาแต่ก็ยังมีจุดแข็งเป็น 1 ในผู้ผลิตสินค้าเกษตรอันดับ 1 ของโลกหลายชนิด เช่น มะพร้าว สับปะรด และข้าวโพดหวาน รวมถึงเครื่องปรุงรสที่ผู้บริโภคซื้อซ้ำ ซึ่งมีการเติบโตสูง 20% ต่อปี เช่น น้ำจิ้มไก่ ซีอิ๊ว น้ำปลา และเต้าเจี้ยว เป็นต้น
“ประเทศไทยเรามีโอกาสพัฒนาภาคเกษตรไปสู่ตลาดโลกได้ แต่ปัจจัยภายในยังแก้ไขได้ยาก เรายังขาดแคลนบุคลากรที่มีความสามารถและทักษะการทำงานเรื่องนี้ ขณะเดียวกันธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการเกษตรไทย อย่างผู้ประกอบการร้านอาหารไทยก็มีมากกว่า 3 หมื่นร้าน กระจายอยู่ทั่วโลก สามารถโปรโมทสินค้าด้านการเกษตรและอาหารไทยได้เป็นอย่างดี เพียงแค่ภาครัฐจะต้องเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนอย่างจริงจังให้มากขึ้น”
ยกตัวอย่างการสนับสนุนและวางแผนนโยบาย “ครัวไทยสู่ครัวโลก” ต้องปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์ ใช้จุดแข็งด้านวัตถุดิบและความสามารถในการแปรรูปของไทยผลิตอาหารหลากหลายเชื้อชาติ ไม่ใช่เฉพาะแค่อาหารไทยเท่านั้น ต้องประยุกต์ให้วัตถุดิบไทยเข้ากับตลาดอาหารที่ตรงกับความต้องการของพื้นที่นั้น ๆ โดยนำเทคโนโลยีใหม่ใช้ในการเกษตรเพื่อเพิ่มผลผลิต และต้องให้ความสำคัญกับ Functional Food เพื่อตอบโจทย์ตลาดอาหารสุขภาพตามเทรนด์โลก
ด้าน ดร.องอาจ กิตติคุณชัย นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป TFPA และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โอกาสและความท้าทายของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคการเกษตรและอาหารของประเทศไทย ปัจจุบันประสบปัญหาสำคัญ คือ 1.ประสิทธิภาพการผลิตต่ำ ทั้งจากการขาดแคลนน้ำชลประทาน, ปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม, การนำเข้าปุ๋ยซึ่งควบคุมราคาไม่ได้และไม่สามารถผลิตใช้เองได้ภายในประเทศ
2. ปัญหาโครงสร้างประชากรเกษตรที่สูงอายุ และคนรุ่นใหม่ไม่สนใจเรื่องการเกษตร ส่งผลให้ขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตร 3.เกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์ยังมีอยู่น้อยมาก ยังไม่ประสบความสำเร็จในระดับประเทศ
4. ระบบราชการในการดำเนินการด้านธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตรล่าช้าและซับซ้อน เช่น การยื่นขอจดทะเบียนจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ที่มีระยะเวลาการพิจารณาหลังจากยื่นเอกสารถึง 15 วัน และใช้เวลารอนาน 3-6 เดือน ช้าจนเสียโอกาสทางธุรกิจ ควรมีกระบวนการที่รวดเร็วและง่ายสำหรับผู้ที่มีหลักฐานถูกต้องชัดเจน
5. การแข่งขันด้านราคาในตลาดโลก ประเด็นนี้ ประเทศไทยกำลังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงและอาจเสียตลาดให้กับคู่แข่ง โดยเฉพาะจีนและเวียดนามที่ผลิตสินค้าเกษตรที่ราคาถูกกว่ามาก นอกจากนี้ยังมีอินเดียและอินโดนีเซียที่สามารถผลิตได้ในราคาถูกและมีคุณภาพทัดเทียมใกล้เคียงกันกับไทย เช่น สับปะรดและมะพร้าว ที่ได้เสียตลาดให้กับอินโดนีเซียแล้ว 6. ภาพลักษณ์ “ครัวไทยสู่ครัวโลก” ที่รัฐบาลออกเป็นนโยบายยังไม่เกิดขึ้นจริง
“การจัดแสดงสินค้าอาหารไทยในต่างประเทศหลายงาน ยังขาดความยิ่งใหญ่และสมศักดิ์ศรีของคำว่า “ครัวไทยสู่ครัวโลก” เมื่อเทียบกับประเทศอื่น เราไม่ได้เป็น Kitchen of the World เพราะการบริหารและวัตถุประสงค์ของภาครัฐกับภาคเอกชนไม่สอดคล้องตรงกัน ส่วนใหญ่ภาครัฐจะสนใจเพียงแค่เรื่องงบประมาณ แต่ภาคเอกชนหวังผลสำเร็จจากงบประมาณ ดังนั้นผลลัพธ์จึงไม่เป็นที่น่าพอใจ”
ดร.องอาจ กล่าวว่า ส่วนจุดแข็งและโอกาสของภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ 1. สินค้าเกษตรและอาหารของไทยมีคุณภาพและมาตรฐานสูง มีจุดแข็งด้านความปลอดภัย ได้มาตรฐานโลก 2. มีความก้าวหน้าด้านการแปรรูป เช่น ยางพาราที่นำไปผลิตล้อยาง และข้าวที่แปรรูปไปเป็นส่วนผสมอื่น หรือสร้างพลังงานจากมันสำปะหลัง
3. ผู้ประกอบการไทยพึ่งพาตนเองและใช้วัตถุดิบภายในประเทศเป็นหลักกว่า 70-80% วัตถุดิบแปรรูปอาหารของไทยส่วนใหญ่พึ่งพาการนำเข้าน้อยมาก 4. ภูมิประเทศของไทยยังเอื้ออำนวยต่อภาคการเกษตร อยู่ในเขตเขตร้อนชื้น (Tropical Zone) ไม่มีหิมะตกหรือแผ่นดินไหวรุนแรง มีความมั่นคงด้านภูมิศาสตร์ 5. ไทยสามารถสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนได้ดี เช่น การจัดแสดงสินค้าในต่างประเทศ 6. บทบาทของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีส่วนส่งเสริมเศรษฐกิจด้านการเกษตรและอาหาร สร้างรายได้ง่ายและรวดเร็ว
ดังนั้น ทิศทางในอนาคตของ “สินค้าเกษตรไทย” ภาครัฐและเอกชนต้องทำงานร่วมกัน เร่งปรับปรุงประสิทธิภาพและลดต้นทุนเพื่อสร้างสินค้าราคาถูกแข่งขันให้ได้ พัฒนาระบบให้รวดเร็วและเอื้อต่อการดำเนินธุรกิจมากขึ้น ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรและอาหาร ทั้งสร้างแบรนด์ ความน่าเชื่อถือและมาตรฐานที่แตกต่างจากคู่แข่ง เพื่อให้ประเทศไทยยังคงมีโอกาสในการพัฒนาและรักษาตำแหน่งในตลาดโลกเอาไว้ได้