ฐานเศรษฐกิจ เกาะติดความคืบหน้าคดีหมายเลขดำที่ พ ๕๗๑/๒๕๖๘ ที่มีโจทย์ คือ นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ นางสุวิมล มหากิจศิริ และนายประยุทธ มหากิจศิริ รวม 3 คน
ขอให้ศาลมีนบุรีเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 ที่ห้ามผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์แบรนด์ Nescafé ในประเทศไทย ทำให้กระทบทั้งผู้ประกอบการรายย่อย เกษตรกร และซัพพลายเออร์ในไทย
โดยมี บริษัท เนสท์เล่ เอส.เอ , โซชิเอเต้ เดส์ โปรดุยต์ส เนสท์เล่ เอส.เอ , บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด , นายรามอน เมนดิวิล กิล , บริษัท เนสท์เล่ อาร์โอเอช (ประเทศไทย) และ บริษัท เนสท์เล่เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด รวม 6 คน เป็นจำเลย
ซึ่งเดิมศาลมีนบุรีนัดไต่สวนคำร้องของฝ่ายจำเลยที่ยื่นคำร้องในวันศุกร์ที่ 11 เมษายน 2568 แต่ปรากฏว่าทนายของจำเลยที่ 2 และที่ 3 (ฝ่ายเนสท์เล่) ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพิ่มอีกฉบับ เพื่อขอให้ศาลมีนบุรียื่นคำร้องไปยังประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ขำให้วินิจฉัยอำนาจการพิจารณาคดีดังกล่าวของศาลแพ่งมีนบุรี
โดยจำเลย(เนสท์เล่)ระบุเหตุผลในคำร้องว่า เนื่องจากคดีอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง จึงขอให้ส่งคดีไปให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางเป็นผู้พิจารณา ทำให้คำคัดค้านคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของตระกูลมหากิจศิริยังไม่มีการวินิจฉัย
เนื่องจากว่า ศาลมีนบุรีต้องรอคำวินิจฉัยประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ วินิจฉัยว่าศาลมีนบุรีมีอำนาจในการพิจารณาคดีนี้หรือไม่
ซึ่งศาลมีนบุรีได้นัดทั้ง 2 ฝ่าย นัดฟังคำสั่งประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พร้อมกันวันที่ 20 มิถุนายน 2568 เวลา 09.00 น.ตามที่คู่ความทั้งสองฝ่ายมีวันว่างตรงกัน