จับตาศาลพิจารณาคดี “เนสท์เล่” ฟ้อง “มหากิจศิริ” เรียกค่าเสียหาย 577 ล้าน พรุ่งนี้ 9 มิ.ย.

08 มิ.ย. 2568 | 06:34 น.
อัปเดตล่าสุด :08 มิ.ย. 2568 | 07:26 น.

9 มิถุนายน “ศาลทรัพย์สินทางปัญญา” พิจารณาคดี “เนสท์เล่” ฟ้องเรียกค่าเสียหาย “มหากิจศิริ” 577 ล้านบาท ปมเหตุทำให้ต้องหยุดขาย “เนสกาแฟ” 8 วัน

หลังจากที่ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ได้นัดไกล่เกลี่ยระหว่างคู่กรณี จากการที่บริษัทในเครือ เนสท์เล่ เอส. เอ. ที่สวิตเซอร์แลนด์ในฐานะเจ้าของเครื่องหมายการค้า "เนสกาแฟ" และ "เนสท์เล่ ไทย" ในฐานะผู้ได้รับสิทธิใช้เครื่องหมายการค้าเนสกาแฟในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

ได้ยื่นฟ้องนายประยุทธ มหากิจศิริ และนายเฉลิมชัย มหากิจศิริ จากการกระทำที่กระทบสิทธิในเครื่องหมายทางการค้าเนสกาแฟ โดยเนสท์เล่เรียกร้องค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 577 ล้านบาท ซึ่งคำนวณจากค่าเสียหายจากการที่เนสท์เล่ต้องหยุดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนสกาแฟไป 8 วัน เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา

จับตาศาลพิจารณาคดี “เนสท์เล่” ฟ้อง “มหากิจศิริ” เรียกค่าเสียหาย 577 ล้าน พรุ่งนี้ 9 มิ.ย.

ซึ่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวยืนยันว่า เนสท์เล่ ไทย เป็นผู้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในอันที่จะใช้เครื่องหมายการค้า "Nescafe" และ "เนสกาแฟ" ในประเทศไทย

คู่กรณีทั้งสองฝ่ายได้มาศาลเพื่อร่วมขั้นตอนไกล่เกลี่ย โดยนายเฉลิมชัย มหากิจศิริและตัวแทนของเนสท์เล่ ไม่สามารถตกลงกันได้

ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ จึงให้คู่ความเข้ากระบวนการพิจารณาคดีและกำหนดประเด็นข้อพิพาทต่อไปในวันที่ 9 มิถุนายน 2568 นี้

ทั้งนี้ “เนสท์เล่” ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2568 เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเลิกกิจการบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักส์ จำกัด(QCP) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนแบบ 50/50 ระหว่างเนสท์เล่และตระกูลมหากิจศิริ เพื่อให้ผู้ถือหุ้นแต่ละฝ่ายได้รับส่วนแบ่งสินทรัพย์ของตนและสามารถนำสินทรัพย์ดังกล่าวไปลงทุนตามความต้องการของตนเองได้

เนื่องจากกรรมการบริษัทและผู้ถือหุ้นไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับทิศทางในอนาคตของบริษัท QCP  และบริษัท QCP ได้หยุดการดำเนินงานต่าง ๆ โดยไม่ได้ผลิตผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นมา

จับตาศาลพิจารณาคดี “เนสท์เล่” ฟ้อง “มหากิจศิริ” เรียกค่าเสียหาย 577 ล้าน พรุ่งนี้ 9 มิ.ย.

โดยเนสท์เล่ยังได้ขอให้ศาลแพ่งกรุงเทพใต้พิจารณาแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีหรือผู้จัดการทรัพย์สินเพื่อทำหน้าที่ดูแลภาระทางการเงินของบริษัท QCP และปกป้องทรัพย์สินของบริษัท จนกว่าศาลจะมีคำตัดสินเกี่ยวกับการเลิกกิจการบริษัท QCP โดยเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ได้สืบพยานฝ่ายโจทก์จำนวน 3 ปากเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และศาลได้นัดสืบพยานฝ่ายจำเลยในวันที่ 26 มิถุนายน 2568 ที่จะถึงนี้

ทั้งนี้ เนสท์เล่จะดำเนินการอย่างเต็มที่ให้การเลิกกิจการบริษัท QCP เป็นไปอย่างราบรื่น และลดผลกระทบที่อาจมีต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน โดยเนสท์เล่ยังคงเป็นบริษัทที่รับซื้อเมล็ดกาแฟโรบัสต้ารายใหญ่ที่สุดของไทย และจะเดินหน้าลงทุนเพื่อผลิตเนสกาแฟในประเทศไทย

ระหว่างปี 2533 ถึง 2567 ผลิตภัณฑ์เนสกาแฟในประเทศไทยเคยผลิตโดยบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักส์ จำกัด (QCP) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนแบบ 50/50 ระหว่างเนสท์เล่และตระกูลมหากิจศิริ โดยนายประยุทธ และนายเฉลิมชัย มหากิจศิริ ไม่ใช่เจ้าของเนสกาแฟ แต่เป็นเพียงผู้ถือหุ้นในโรงงาน QCP ส่วนแบรนด์เนสกาแฟและเทคโนโลยีการผลิตที่เกี่ยวข้องล้วนเป็นของเนสท์เล่ และเนสท์เล่เป็นผู้บริหารงานบริษัท QCP ทั้งหมดด้วยตนเองมาโดยตลอด

จับตาศาลพิจารณาคดี “เนสท์เล่” ฟ้อง “มหากิจศิริ” เรียกค่าเสียหาย 577 ล้าน พรุ่งนี้ 9 มิ.ย.

ย้อนที่มาของเงินค่าเสียหาย 577 ล้าน

เริ่มต้นเมื่อนายเฉลิมชัย มหากิจศิริ ผู้ถือหุ้นในบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งมีนบุรีเพื่อขอคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว เป็นคดีหมายเลขดำที่ พ ๕๗๑/๒๕๖๘ ที่มีโจทก์ คือ นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ นางสุวิมล มหากิจศิริ และนายประยุทธ มหากิจศิริ รวม 3 คน

โดยมีบริษัท เนสท์เล่ เอส.เอ , โซชิเอเต้ เดส์ โปรดุยต์ส เนสท์เล่ เอส.เอ, บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด, นายรามอน เมนดิวิล กิล , บริษัท เนสท์เล่ อาร์โอเอช (ประเทศไทย) และ บริษัท เนสท์เล่เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด รวม 6 คน เป็นจำเลย

และเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 ศาลแพ่งมีนบุรีออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว “ห้ามเนสท์เล่ ผลิตว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูป โดยใช้เครื่องหมายการค้า Nescafé ในประเทศไทย” คำสั่งนี้ส่งผลให้เนสท์เล่ไม่สามารถรับคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์เนสกาแฟได้ทันที เนสท์เล่ ระบุว่า สร้างความเสียหายมหาศาลที่เนสท์เล่อ้างว่าสูงถึง 68.7 ล้านบาทต่อวัน

ต่อมา เนสท์เล่ได้ทำหนังสือแจ้งพันธมิตรทางการค้าว่า “ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง” มีคำสั่งยืนยันให้เนสท์เล่เป็นผู้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการใช้เครื่องหมายการค้า “Nescafé” และ “เนสกาแฟ” ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2568 ทำให้เนสท์เล่ สามารถกลับมาขายเนสกาแฟได้รวมระยะเวลาการหยุดขายทั้งสิ้น 8 วัน