ศาลนัด 9 มิ.ย. ชี้ชะตาคดี "เนสท์เล่" ฟ้อง "มหากิจศิริ" 577 ล้าน

30 พ.ค. 2568 | 03:00 น.
อัปเดตล่าสุด :30 พ.ค. 2568 | 05:26 น.

“ศาลทรัพย์สินทางปัญญา” นัดพิจารณาคดีวันที่ 9 มิ.ย. นี้ “คดีเนสท์เล่” ฟ้อง “มหากิจศิริ” เรียกค่าเสียหาย 577 ล้านบาท ปมสิทธิ์ใช้เครื่องหมายการค้าเนสกาแฟในไทย

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ได้มีนัดไกล่เกลี่ย ระหว่างคู่กรณี จากการที่บริษัทในเครือ เนสท์เล่ เอส. เอ. ที่สวิตเซอร์แลนด์ในฐานะเจ้าของเครื่องหมายการค้า เนสกาแฟ และ เนสท์เล่ ไทย ในฐานะผู้ได้รับสิทธิใช้เครื่องหมายการค้าเนสกาแฟในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

 

ได้ยื่นฟ้องนายประยุทธ มหากิจศิริ และนายเฉลิมชัย มหากิจศิริ จากการกระทำที่กระทบสิทธิในเครื่องหมายทางการค้าเนสกาแฟ โดยเนสท์เล่เรียกร้องค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 577 ล้านบาท ซึ่งคำนวณจากค่าเสียหายจากการที่เนสท์เล่ต้องหยุดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนสกาแฟไป 8 วัน

ซึ่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวยืนยันว่า เนสท์เล่ ไทย เป็นผู้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในอันที่จะใช้เครื่องหมายการค้า "Nescafe" และ "เนสกาแฟ" ในประเทศไทย

 

คู่กรณีทั้งสองฝ่ายได้มาศาลเพื่อร่วมขั้นตอนไกล่เกลี่ย โดยนายเฉลิมชัย มหากิจศิริและตัวแทนของเนสท์เล่ ไม่สามารถตกลงกันได้ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ จึงให้คู่ความเข้ากระบวนการพิจารณาคดีและกำหนดประเด็นข้อพิพาทต่อไปในวันที่ 9 มิถุนายน 2568 นี้ 

ก่อนหน้านี้ เนสท์เล่ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2568 เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเลิกกิจการบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักส์ จำกัด(QCP) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนแบบ 50/50 ระหว่างเนสท์เล่และตระกูลมหากิจศิริ

 

เพื่อให้ผู้ถือหุ้นแต่ละฝ่ายได้รับส่วนแบ่งสินทรัพย์ของตนและสามารถนำสินทรัพย์ดังกล่าวไปลงทุนตามความต้องการของตนเองได้ เนื่องจากกรรมการบริษัทและผู้ถือหุ้นไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับทิศทางในอนาคตของบริษัท QCP  และบริษัท QCP ได้หยุดการดำเนินงานต่าง ๆ โดยไม่ได้ผลิตผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นมา

 

นอกจากนี้ เนสท์เล่ยังได้ขอให้ศาลแพ่งกรุงเทพใต้พิจารณาแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีหรือผู้จัดการทรัพย์สินเพื่อทำหน้าที่ดูแลภาระทางการเงินของบริษัท QCP และปกป้องทรัพย์สินของบริษัท จนกว่าศาลจะมีคำตัดสินเกี่ยวกับการเลิกกิจการบริษัท QCP โดยเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ได้สืบพยานฝ่ายโจทก์จำนวน 3 ปากเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และศาลได้นัดสืบพยานฝ่ายจำเลยในวันที่ 26 มิถุนายน 2568 ที่จะถึงนี้

 

ทั้งนี้ เนสท์เล่จะดำเนินการอย่างเต็มที่ให้การเลิกกิจการบริษัท QCP เป็นไปอย่างราบรื่น และลดผลกระทบที่อาจมีต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน โดยเนสท์เล่ยังคงเป็นบริษัทที่รับซื้อเมล็ดกาแฟโรบัสต้ารายใหญ่ที่สุดของไทย และจะเดินหน้าลงทุนเพื่อผลิตเนสกาแฟในประเทศไทย

 

ระหว่างปี 2533 ถึง 2567 ผลิตภัณฑ์เนสกาแฟในประเทศไทยเคยผลิตโดยบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักส์ จำกัด (QCP) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนแบบ 50/50 ระหว่างเนสท์เล่และตระกูลมหากิจศิริ โดยนายประยุทธ และนายเฉลิมชัย มหากิจศิริ ไม่ใช่เจ้าของเนสกาแฟ แต่เป็นเพียงผู้ถือหุ้นในโรงงาน QCP ส่วนแบรนด์เนสกาแฟและเทคโนโลยีการผลิตที่เกี่ยวข้องล้วนเป็นของเนสท์เล่ และเนสท์เล่เป็นผู้บริหารงานบริษัท QCP ทั้งหมดด้วยตนเองมาโดยตลอด