รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการขยายระยะเวลามาตรการบรรเทาภาระภาษีสำหรับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล โดยออกเป็นร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
โดยให้ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการโอนขายโทเคนดิจิทัลเพื่อการใช้ประโยชน์ที่ได้กระทำผ่านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล และผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ได้กระทำตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป
ล่าสุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ทำหนังสือแจ้งต่อครม. ว่า สศช. พิจารณาแล้ว เห็นควรให้ความเห็นชอบในหลักการของร่างพ.ร.ฎ.การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ฉบับนี้ เพื่อสนับสนุนการซื้อขายสินทรัพย์ ดิจิทัล
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัจจุบันอยู่ระหว่างที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาดำเนินการแก้ไข พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 พร้อมกับกฎหมายด้านตลาดทุนอีก 3 ฉบับ ที่ครอบคลุมถึงการกำหนดประเภทสินทรัพย์ดิจิทัล การส่งเสริมตลาดทุนดิจิทัล และการสร้างความชัดเจนในการกำกับดูแลและภาระทางภาษี ประกอบกับยังมีแรงกดดันทางด้านการคลังที่มีความจำเป็นจะต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้
ดังนั้น จึงเห็นควรให้กำหนดระยะเวลาในการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่คาดว่าการแก้ไขพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ จะแล้วเสร็จ เพื่อให้มีความชัดเจนเกี่ยวกับการดำเนินธุรกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งกระทรวงการคลัง จะได้สามารถปรับปรุงการจัดเก็บภาษีจากธุรกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในภาพรวมให้สอดคล้องกัน รวมทั้งสอดคล้องกับหลักการของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ได้ในภายหลัง
นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งรัดสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีจากการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยควบคู่กันไปด้วย
ขณะที่สำนักงบประมาณเสนอความเห็นด้วยว่า เพื่อให้การดำเนินการตามร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เห็นสมควรที่กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการ ภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลัง และงบประมาณของประเทศ รวมถึงติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ และรายงานผลการดำเนินการ ตามมาตรการภาษีดังกล่าว ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ต่อไป