กางแผนพัฒนา “ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ” ดันจีดีพี 1 ล้านล้าน ในปี 77

06 ธ.ค. 2566 | 03:43 น.

เปิดแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ ด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG หนุนภาคเหนือสู่ฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศ ดันจีดีพี 1 ล้านล้าน ในปี 77

เมื่อเร็วๆนี้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) จัดงานสัมมนาเชิงนโยบายกลไกการขับเคลื่อนแผนแม่บทการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC- Creative Lanna) ด้วยแนวคิด BCG Economy เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจในการขับเคลื่อนการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC) เขตเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ

กางแผนพัฒนา “ระเบียงศก.พิเศษภาคเหนือ” ดันจีดีพี  1 ล้านล้าน ในปี 77

รศ.ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม รองผู้อำนวยการฝ่ายแผนและยุทธศาสตร์องค์กร หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กล่าวถึง ความจำเป็นในการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ในการเชื่อมโยงอุตสาหกรรมและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภูมิภาค ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและเชื่อมระเบียงเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงความสำคัญของการสร้างการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่และชุมชน ในกระบวนการคิดและการวางแผนพัฒนาเพื่อยกระดับเศรษฐกิจร่วมของพื้นที่ 

ทั้งนี้ บพท. ได้สนับสนุนทุนวิจัยนวัตกรรมให้อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดำเนินโครงการพัฒนาแผนแม่บทเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ ด้วยแนวคิด BCG Economy ภายใต้แผนงาน การพัฒนาเมืองและกลไกการเติบโตใหม่ โปรแกรมที่ 15 การพัฒนาเมืองน่าอยู่และการกระจายศูนย์กลางความเจริญโดยใช้วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

มุ่งเน้นการพัฒนาศูนย์กลางความเจริญเมืองอัจฉริยะเมืองน่าอยู่และเมืองที่ได้รับการพัฒนาตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน  เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือร่วมกับจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง

กางแผนพัฒนา “ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ” ดันจีดีพี  1 ล้านล้าน ในปี 77

อีกทั้งเพื่อผลักดันการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ ให้เป็นพื้นที่แห่งโอกาสของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ที่จะนำมาซึ่งการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถทางด้านการแข่งขันของประเทศ และยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง 
 

รศ.ดร. อภิชาต โสภาแดง วิทยาลัยพหุวิทยาการและสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่าโครงการการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือฯนับว่าเป็นแรงกระเพื่อมสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรฐกิจของภาคเหนือให้เติบโตไปข้างหน้า การระดมสมองและบูรณาการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสำคัญทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา และภาคประชาสังคมในพื้นที่ จึงเป็นที่มาของการเกิดโครงการเรือธง (Flagship Projects) สำคัญ 4 โครงการได้แก่

1.ประตูสู่ความร่วมมือและเชื่อมร้อยอารยธรรมลุ่มน้ำ

2. เมืองแห่งสุขภาพและสุขภาวะของระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ

3. เขตอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมเกษตร อาหาร และสุขภาพภาคเหนือ

และ 4. นิคมอุตสาหกรรมสีเขียว และศูนย์กลางโลจิสติกส์ 

โครงการเรือธงเหล่านี้จะเชื่อมร้อยห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ทั้งอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร และอุตสาหกรรมดิจิทัล ที่เป็นคลัสเตอร์เป้าหมายของระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือให้เติบโตได้อย่างเป็นระบบ

กางแผนพัฒนา “ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ” ดันจีดีพี  1 ล้านล้าน ในปี 77

รศ.ดร.ปิติวัฒน์ วัฒนชัย ผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาคเหนือบนฐาน Bio-Circular-Green Economy ด้วย NEC BCG Innovation Platform จะช่วยให้การนำนโยบายไปสู่แผนการปฏิบัติในพื้นที่เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม

แพลตฟอร์มนี้เป็นการเชื่อมโยงโครงการเรือธง และโครงการที่จะปิดช่องว่างการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจของภาคเหนือ เพื่อเติมเต็มห่วงโซ่คุณค่า อุตสาหกรรมเป้าหมายของพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ ตลอดต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ จากการผสานความร่วมมือ 4 จังหวัดภาคเหนือ โดยรวมโครงการภายใต้แผนแม่บท NEC ดังกล่าวมีมูลค่าโครงการรวมกว่า 140,000 ล้านบาท

หากผนวกกับแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ขนาดใหญ่ของภาคเหนือ อาทิ รถไฟทางคู่ (เด่นชัย-เชียงใหม่/ เด่นชัย-เชียงของ) สนามบินเชียงใหม่แห่งที่สอง มอเตอร์เวย์เชียงใหม่-เชียงราย ที่คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่ารวมกว่า 350,590 ล้านบาท จะส่งผลให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร และอุตสาหกรรมดิจิทัลใน 4 จังหวัดแกนกลางเพิ่มขึ้น 

โดยจะส่งผลให้เกิดผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมหลักรวม 500 ราย เกิดผลิตภัณฑ์และบริการอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ 500 ผลิตภัณฑ์ เกิดเมืองหรือย่านสร้างสรรค์เพิ่มขึ้น เกิดเทศกาลสร้างสรรค์เชื่อมโยงเมืองต่างๆ ดึงดูดจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นกว่า 30 ล้านคน เกิดการจ้างงานกว่า 2.9 ล้านตำแหน่งต่อปี

จะก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูนและลำปาง 221,868 ล้านบาทต่อปี และเพิ่มการเติบโตของ จีดีพีรวม 4 จังหวัดเป็น 1 เท่า มูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท ภายในปี 2577