“เศรษฐา” ถกทูตสหรัฐฯ - บีโอไอ วันนี้ หาช่องดึงนักลงทุนต่างชาติ

07 ก.ย. 2566 | 06:34 น.

นายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” เตรียมหารือกับ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย รวมทั้งเลขาฯ บีโอไอ วันนี้ หาช่องทางเร่งดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ แก้ปัญหาอุปสรรคด้านการลงทุน

วันนี้ (7 กันยายน 2566) ที่พรรคเพื่อไทย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะหารือกับนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ถึงแนวทางการผลักดันให้มีการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น พร้อมหารือถึงอุปสรรคที่ต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย 

จากนั้นในช่วงบ่าย นายโรเบิร์ต เอฟ. โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย จะเข้าพบกับนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือเรื่องความร่วมมือด้านต่าง ๆ ระหว่างสหรัฐฯ และไทย ที่พรรคเพื่อไทยเช่นกัน

ทั้งนี้สถานการณ์ด้านการลงทุนล่าสุดของไทย มีสถิติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุน 6 เดือน (มกราคม – มิถุนายน) ปี 2566 มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริม รวมทั้งสิ้น 891 โครงการ เพิ่มขึ้น 18% และมีมูลค่าเงินลงทุน 364,420 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

สำหรับคำขอรับการส่งเสริมในอุตสาหกรรมเป้าหมาย มีจำนวน 464 โครงการ มูลค่ารวม 286,930 ล้านบาท คิดเป็น 79% ของมูลค่าขอรับการส่งเสริมทั้งสิ้น ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารแปรรูป และอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน

 

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ส่วนสถิติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ในช่วง 6 เดือนแรก มีจำนวน 507 โครงการ เพิ่มขึ้น 33% เงินลงทุน 304,041 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 141% โดยจีนเป็นประเทศที่มีมูลค่าเงินลงทุนมากที่สุด 61,500 ล้านบาท จาก 132 โครงการ 

ส่วนใหญ่ลงทุนในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อันดับ 2 ได้แก่ สิงคโปร์ 73 โครงการ เงินลงทุน 59,112 ล้านบาท ขณะที่ประเทศญี่ปุ่น แม้ว่าจะเป็นอันดับ 3 จำนวน 98 โครงการ เงินลงทุน 35,330 ล้านบาท แต่มูลค่าคำขอรับการส่งเสริมจากญี่ปุ่นเติบโตขึ้นกว่าเท่าตัวจากครึ่งแรกของปี 2565 ที่มีมูลค่า 16,793 ล้านบาท โดยมีโครงการขนาดใหญ่ในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนยานยนต์

ขณะที่การออกบัตรส่งเสริม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุดเพิ่มขึ้นมากเช่นเดียวกัน โดยในช่วง 6 เดือนแรก มีการออกบัตรส่งเสริมจำนวน 851 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 เงินลงทุนรวม 234,690 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% ถือเป็นสัญญาณที่ดีว่าจะมีเงินลงทุนจริงมากขึ้นในระยะ 1 ปีข้างหน้า

 

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

อย่างไรก็ตามในด้านของการส่งเสริมการลงทุนของนโยบายรัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน นั้น ขณะนี้รัฐบาลได้เตรียมความพร้อมเรื่องของการลงทุนโดยเขียนเอาไว้อยู่ในคำแลงนโยบายต่อรัฐสภา ระบุว่า เป็นหนึ่งในนโยบายระยะกลางและระยะยาว 

โดยปรับปรุงกระบวนการพิจารณาอนุมัติโครงการลงทุนผ่าน บีโอไอ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เพื่อดึงดูดการลงทุนที่จะช่วยเพิ่มความสามารถทางการผลิต สร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้า และวางรากฐานให้เศรษฐกิจในระยะยาว

พร้อมกันนี้ รัฐบาลจะส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ อาทิการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง อุตสาหกรรมสีเขียว และอุตสาหกรรมความมั่นคงของประเทศ รวมทั้งการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในประเทศเพื่อให้เป็นเครื่องยนต์ใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และยกระดับศักยภาพการแข่งขันของประเทศ 

รวมไปถึงการพัฒนาต่อยอดเขตเศรษฐกิจพิเศษและระเบียงเศรษฐกิจทั้ง 4 ภาค ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนการพัฒนาพื้นที่และเมืองให้เป็นไปตามผังเมืองที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน เพื่อให้เกิดการกระจายความเจริญ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจไปสู่ภูมิภาคด้วย

ต่อมาเมื่อช่วงเช้าวันนี้ ที่พรรคเพื่อไทย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในวันนี้จะหารือกับเลขาธิการ บีโอไอ เพื่อพิจารณาเรื่องการลงทุนจากต่างประเทศว่าติดขัดอะไรหรือไม่ เพราะเป็นเรื่องสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงจะมีการพบกับเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยด้วย จึงขอให้มั่นใจได้ว่ารัฐบาลทำงานอย่างเต็มที่

 

นายกรัฐมนตรี และคณะ หารือกับเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ

 

ผลการหารือ บีโอไอ นายกฯ ดันการลงทุนต่างประเทศ 

ต่อมาเมื่อช่วงเวลา 11.00 น. นายกรัฐมนตรี พร้อมทั้ง นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.การต่างประเทศ นายจักรพงษ์ แสงมณี รมช.การต่างประเทศ นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นางสาวสรัสนันท์ อรรณนพพร สส.จังหวัดขอนแก่น พรรคเพื่อไทย และคณะทำงานด้านนโยบายการต่างประเทศ พรรคเพื่อไทย หารือกับนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการ บีโฮไอ เกี่ยวกับการเดินหน้าการส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทย

นายกฯ กล่าวว่า  การลงทุนจากต่างประเทศและการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศในไทย (FDI) ต้องใช้ระยะเวลานาน  หากไม่เริ่มดำเนินการในวันนี้ จะเห็นผลต่อระบบเศรษฐกิจไทยในอีก  2-3 ปี จึงต้องเร่งทำงานทันที พร้อมทั้งต้องเร่งเตรียมการเดินทางไปโรดโชว์ที่สหรัฐอเมริกา วันที่ 18-24 กันยายน 2566 กับบีโอไอ ซึ่งต้องพบปะกับนักธุรกิจจากหลากหลายประเทศ 

วันนี้ทางบีโอไอเข้ามาให้ข้อมูลเพื่อจะได้เร่งเดินหน้าผลักดันและส่งเสริมการลงทุนในไทย  ยืนยันว่าโครงการใดที่มีประโยชน์ต่อประเทศในภาพรวม จะผลักดันให้เกิดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงโครงการที่อยู่ระหว่างการรอพิจารณาจะรับฟังข้อมูลต่อเนื่องเพื่อทำงานร่วมกันต่อไป 

สำหรับภาพรวมการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศในไทย  ในปี 2561 - มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมากลุ่มอุตสาหกรรม 3 อันดับแรก เป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์  ปิโตรเคมี  ยานยนต์และชิ้นส่วน มูลค่ารวม 1.8 ล้านล้านบาท  โดยพบว่าประเทศญี่ปุ่น มีการขยายการลงทุนเพิ่มต่อเนื่องในกลุ่มบริษัทเดิม และจีนมีการขยายลงทุนต่อเนื่องในกลุ่มบริษัทใหม่  

ส่วนภาพรวมการลงทุนในไทย ยังมีโครงการที่รอการพิจารณาโดยคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบอร์ดบีโอไอ รวม 6 โครงการ มูลค่ารวม 29,862 ล้านบาท และโครงการที่รอพิจารณาตาม พ.ร.บ.การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ กว่า 21 โครงการ
 

นายกรัฐมนตรี และคณะ หารือกับเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ