KEY
POINTS
ต่อกรณีที่รัฐบาลเตรียมขับเคลื่อนนโยบาย “ขยายเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งในช่วงบ่ายและให้เปิดขายได้ถึงตี 4" เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ผู้ประกอบการร้านอาหารและสถานบันเทิงทั่วประเทศต่างจับตาความชัดเจนของกฎหมายฉบับใหม่ ที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของธุรกิจกลางคืนไทยอีกครั้ง
นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารและที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมโฮสเทลประเทศไทย เปิดเผยกับ 'ฐานเศรษฐกิจ' ว่า ในฐานะผู้ประกอบการมองว่านโยบายขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะเป็น “แรงกระตุ้นเศรษฐกิจ” สำคัญโดยเฉพาะภาคธุรกิจร้านอาหาร
"มีสองมิติ หนึ่งคือกระตุ้นเศรษฐกิจ สองคือทำให้ค้าขายได้โดยไม่ต้องกลัวปัญหา เพราะบริบทประเทศไทยเปลี่ยนไปแล้ว เราเป็นเมืองท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวไม่ได้กินข้าวเที่ยงตรงเวลา เขากินบ่ายสอง แล้วก็มักดื่มเบียร์หรือไวน์ไปด้วย แต่ร้านกลับขายไม่ได้ในช่วง 14.00–17.00 น. เลยกลายเป็นช่องว่างใหญ่ของรายได้
ช่องว่างสามชั่วโมงนี้ส่งผลทั่วประเทศ ร้านอาหารบางแห่งจำใจแอบขาย บางแห่งหยุดขายไปเลย ลูกค้าบางคนเห็นว่าดื่มไม่ได้ก็ไม่เข้า สุดท้ายรอมากินตอนเย็น ทำให้ร้านเสียรายได้ทั้งอาหารและบรรยากาศไปเยอะมาก”
หากกฎหมายใหม่นี้ผ่าน ยอดขายของร้านอาหารจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 25–30% เพราะสามารถให้บริการลูกค้าได้ต่อเนื่อง โดยไม่ต้องคอยกังวลช่วงเวลาห้ามขาย
อย่างไรก็ตามในร่างกฎหมายฉบับใหม่ที่จะเริ่มใช้มีเงื่อนไขเพิ่มเติมที่ทำให้ผู้ประกอบการกังวลอย่างมาก “มีข้อหนึ่งที่เขียนว่า เมื่อถึงเวลา ‘ห้ามขาย’ แล้ว ห้ามลูกค้านั่งต่อด้วย” สมมติผับปิดตีหนึ่ง ลูกค้ายังมีเบียร์เหลือครึ่งเหยือกก็ห้ามนั่งต่อ ถ้านั่ง ร้านจะโดนปรับ 10,000 บาท”
แม้ร้านอาหารไม่ขายในช่วง 14.00–17.00 น. แต่หากลูกค้านั่งจิบของที่เหลืออยู่ ก็เข้าข่ายผิดเช่นกัน “แบบนี้ผู้ประกอบการจะอยู่ยังไง” ถือเป็นการเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ตีความและควบคุมเกินเหตุ แล้วจะยิ่งทำให้ค้าขายยากกว่าเดิม”
ตนได้ทำหนังสือร้องเรียนผ่าน “คุณสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไปยังรัฐบาลแล้ว โดยนายกรัฐมนตรีได้รับทราบและมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว เร่งแก้ไขก่อนประกาศใช้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้ประกอบการทั่วประเทศ
หนึ่งในข้อเสนอที่รัฐบาลพิจารณาคือ “เปิดให้ขายได้ถึงตี 4” สำหรับสถานประกอบการที่ขึ้นทะเบียนถูกต้อง พร้อมส่งเสริมให้ร้านต่าง ๆ เข้าระบบขอใบอนุญาตอย่างถูกต้อง
“ถ้าเปิดถึงตี 4 ได้ รัฐบาลก็จะเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอีก” เพราะสถานประกอบการจะถูกเก็บภาษีสองต่อ ทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% และภาษีสรรพสามิตอีก 10% ซึ่งมากกว่าร้านอาหารทั่วไปที่โดนแค่ 7%”
มาตรการนี้นอกจากจะสร้างรายได้เข้าคลังมหาศาลแล้ว ยังช่วยให้ผู้ประกอบการที่เคยอยู่ในพื้นที่โซนนิ่งจำกัด เช่น ถนนข้าวสาร ซึ่งไม่อยู่ในเขตที่อนุญาตให้ขายแอลกอฮอล์ตอนกลางคืน ได้มีโอกาสเข้าสู่ระบบถูกกฎหมาย
“ที่ผ่านมาขอใบอนุญาตยากมาก ข้าวสารก็แค่ร้านอาหาร แต่พอเปิดให้ขายถึงตี 4 โดยต้องมีสถานประกอบการเท่านั้น ร้านพวกนี้ก็จะรีบเข้าสู่ระบบ ซึ่งรัฐก็จะได้ภาษีเพิ่มอีก” ซึ่งกฎระเบียบปัจจุบัน “ล้าสมัย” ไม่สอดคล้องกับวิถีของเมืองท่องเที่ยวระดับโลก
“นักท่องเที่ยวไม่ได้รู้หรอกว่าโซนไหนขายได้เวลาไหน เขาไม่ได้มานั่งจำว่ากินได้เฉพาะย่านสีลมหรือรัชดาเมืองไทยควรมีบรรยากาศท่องเที่ยวที่ต่อเนื่องและเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว”
ส่วนข้อกังวลเรื่องสังคมเมาแล้วขับมองว่าไม่เกี่ยวกับการกำหนดเวลาเปิดขาย แต่เกี่ยวกับ “การบังคับใช้กฎหมาย” ที่ต้องเข้มงวดและเท่าเทียม “จริง ๆ กฎหมายมีอยู่แล้ว แต่ไม่ถูกใช้จริงจัง โดยเฉพาะกับคนมีชื่อเสียงหรือครอบครัวใหญ่ ทำให้สังคมรู้สึกว่ากฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์” หน่วยงานรัฐควรเข้มงวดเรื่องลงโทษผู้เมาแล้วขับมากกว่า “ทุกวันนี้โทษมันยังเบา ต้องทำให้คนรู้สึกกลัวที่จะทำผิด ไม่ใช่กลัวเวลาห้ามขาย”
นโยบายขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รัฐบาลมีเป้าหมายเร่งผลักดันให้กฎหมายใหม่นี้ผ่านและประกาศใช้ทันช่วงปีใหม่ “เขาอยากให้ทันเดือนมกราคม เพราะเป็นช่วงไฮซีซันของนักท่องเที่ยว” โดยคาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณา ครม. ภายในสัปดาห์หน้า จากนั้นจะแก้ไข พ.ร.บ. ที่เกี่ยวข้อง และประกาศใช้ได้ราวเดือนธันวาคม ก่อนเริ่มมีผลต้นปีหน้า “กฎหมายนี้จะไม่ใช่ตัวดึงนักท่องเที่ยวให้มาเพิ่ม แต่จะทำให้ผู้ประกอบการทำงานได้ง่ายขึ้น และดูสง่างามขึ้นในสายตาต่างชาติ”