KEY
POINTS
นายฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือ “ไทยเบฟ” เปิดเผยว่า แม้ภาวะเศรษฐกิจจะยังมีความท้าทาย แต่ไทยเบฟยังคงเดินหน้าพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่องภายใต้โครงการทรานส์ฟอร์เมชัน ควบคู่กับการดำเนินกลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว
โดยหนึ่งในก้าวสำคัญที่เสริมแกร่งธุรกิจของกลุ่มในปีที่ผ่านมา คือ การผนวกรวมธุรกิจและการดำเนินงานของบริษัท เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ, ลิมิเต็ด (“F&N”) ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม และการประกาศแผนการดำเนินงานภายใต้ PASSION 2030 เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืน
แผนการดำเนินงานภายใต้ PASSION 2030 ของไทยเบฟ มุ่งเน้นกลยุทธ์หลักสองประการ ได้แก่
การดำเนินงานเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างรากฐานของไทยเบฟให้แข็งแกร่ง สามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดได้ พร้อมทั้งเสริมแกร่งสถานะผู้นำตลาด และเสริมสร้างตราสินค้าที่แข็งแกร่งครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจ เพื่อสร้างคุณค่าให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายได้ต่อไปในระยะยาว
ในช่วง 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ไทยเบฟมีรายได้จากการขายรวม 258,621 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้การบริโภคจะชะลอตัวลง และถึงแม้จะมีการลงทุนในตราสินค้าและการตลาดที่เพิ่มขึ้นตามแผนงานที่วางไว้เพื่อเสริมศักยภาพในการแข่งขันให้แก่ตราสินค้าต่าง ๆ แต่กลุ่มมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) ลดลงเพียง 4.0% จากปีก่อน เป็น 45,026 ล้านบาท
เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่ก้าวถัดไป ไทยเบฟมุ่งมั่นเสริมความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำตลาดในประเทศ พร้อมขยายโอกาสในตลาดต่างประเทศ และพัฒนาศักยภาพจากการผนึกกำลังระหว่างกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ นอกจากนี้ กลุ่มยังแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน รวมถึงมุ่งพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลและการใช้เทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานและการกระจายสินค้า ามแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้ภายใต้ PASSION 2030
"โดยในปี 2568 ไทยเบฟใช้เงินลงทุนรวม 12,000 ล้านบาท และในปี 2569 จะใช้เงินลงทุนอีก 9,000 ล้านบาท เพื่อเดินหน้าบนเส้นทางสู่การเติบโตที่แข็งแกร่ง และสร้างสรรค์คุณค่าแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายด้วยความมุ่งมั่นตามพันธกิจ ‘สร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต’ และวิสัยทัศน์สู่การเป็น ‘ผู้นำที่มั่นคงและยั่งยืนของอาเซียน’ ในธุรกิจเครื่องดื่มและอาหาร"
ธุรกิจสุรา
ธุรกิจสุรามีรายได้จากการขายงวด 9 เดือน ปี 2568 จำนวน 92,778 ล้านบาท ซึ่งทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ปริมาณขายรวมลดลงร้อยละ 0.8 โดย EBITDA ลดลงเป็น 22,161 ล้านบาท เนื่องจากค่าใช้จ่ายการตลาดที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนเพื่อเสริมแกร่งตราสินค้าและสนับสนุนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ส่วนธุรกิจต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงเมียนมา ยังคงมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ธุรกิจสุราในไตรมาสล่าสุดมีกำไรที่ดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายโสภณ ราชรักษา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจสุรา และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานทรัพยากรบุคคลและสมรรถนะองค์กร กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นเสริมแกร่งในฐานะผู้นำตลาดสุราในไทยและเมียนมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งยกระดับกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้วยการนำเสนอสินค้าพรีเมียมเพื่อตอบโจทย์ความนิยมของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ เรายังเดินหน้าขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืนในตลาดภายในประเทศ และขยายโอกาสในตลาดต่างประเทศ ด้วยการลงทุนเพื่อเสริมแกร่งตราสินค้าหลัก และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่มีเอกลักษณ์
เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืน กลุ่มธุรกิจสุรามุ่งเน้นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลักในประเทศไทย พร้อมทั้งเดินหน้าขยายสู่ตลาดต่างประเทศ ในประเทศไทย ไทยเบฟยังคงมุ่งมั่นเสริมแกร่งตราสินค้าหลักอย่าง รวงข้าว หงส์ทอง แสงโสม แม่โขง และเบลนด์ 285 อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดสุราขาวและสุราสีในประเทศ
นอกจากนี้ ไทยเบฟยังคงมุ่งมั่นผลักดันสุราไทยให้เป็นที่รู้จักบนเวทีโลก โดยมุ่งเน้นการถ่ายทอดเรื่องราวแหล่งที่มาของวัตถุดิบคุณภาพ มรดกทางวัฒนธรรม และความประณีตของงานฝีมือ ผ่านตราสินค้าสุราไทยคุณภาพระดับสากล อาทิ แสงโสม แม่โขง พระยา รวงข้าว สยาม แซฟไฟร์ และอีกหนึ่งก้าวสำคัญของกลุ่ม คือ การเปิดตัว ‘PRAKAAN (ปราการ)’ ผลิตภัณฑ์ซิงเกิลมอลต์วิสกี้ระดับพรีเมียมแบรนด์แรกของไทยเมื่อปลายปี 2567
เพื่อต่อยอดความสำเร็จในประเทศไทยและเอเชีย กลุ่มเดินหน้าขยายตลาดสินค้า PRAKAAN (ปราการ) สู่สหราชอาณาจักรและอีกหลายประเทศทั่วโลก โดยมุ่งเน้นกลยุทธ์การขายและการสร้างการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างการรับรู้ตราสินค้าในระดับสากล พร้อมทั้งวางรากฐานการเติบโตในระยะยาว
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 กลุ่มได้ต่อยอดนวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคด้วยการเปิดตัว ZATO (ซาโต้) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมดื่มที่ยกระดับการหมักสาโทข้าวหอมมะลิแบบดั้งเดิมของไทยไปอีกขั้น โดยมาในรูปแบบกระป๋อง มีแคลอรี่ต่ำ และมี 2 รสชาติ ได้แก่ โคล่า บอมบ์ (Cola Bomb) และเลม่อน ไลม์ ฟิซ (Lemon-Lime Fizz)
สำหรับตลาดเมียนมา แกรนด์ รอยัล วิสกี้ (Grand Royal Whisky) ยังคงครองตำแหน่งตราสินค้าวิสกี้อันดับ 1 ในประเทศ ด้วยการปรับกลยุทธ์เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนการดำเนินงานที่แข็งแกร่งได้ ท่ามกลางความท้าทายและภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยกลุ่มยังคงมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และขยายช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการฟื้นตัวของธุรกิจและรักษาความเป็นผู้นำในตลาด นอกจากนี้ยังได้ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์นอกเหนือจากสินค้าวิสกี้ ด้วยการเปิดตัว Chingu Soju (ชินกู โซจู) ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในเมียนมา โดยปัจจุบันมีให้เลือก 5 รสชาติ ได้แก่ เฟรช สตรอว์เบอร์รี องุ่นเขียว พีช และโยเกิร์ต
ในส่วนของตลาดต่างประเทศ ไทยเบฟมุ่งเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันผ่านกลุ่มผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม ครอบคลุมตั้งแต่สก็อตช์วิสกี้ คอนญัก นิวซีแลนด์วิสกี้ ซิงเกิลมอลต์วิสกี้ของไทย ไปจนถึงรัมบ่มอายุ โดยมุ่งเน้นทำการตลาดผ่านช่องทางการขายเฉพาะกลุ่มและที่สนามบิน อีกทั้งยังเดินหน้าขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ โดยใช้โอกาสครบรอบสำคัญของตราสินค้าหลัก อาทิ การครบรอบ 200 ปีของ Old Pulteney ในปี 2569 การครบรอบ 100 ปีของ Larsen ในปี 2569 และการครบรอบ 10 ปีของ Cardrona ในช่วงปลายปี 2568
จัดทำกิจกรรมการตลาดเพื่อเสริมแกร่งให้แก่ตราสินค้าอย่างต่อเนื่อง และได้เพิ่มศักยภาพการผลิตด้วยการขยายคลังสินค้าในเมืองแอร์ดรี สหราชอาณาจักร เพื่อรองรับความต้องการวิสกี้พรีเมียมที่เพิ่มขึ้น รวมถึงวางแผนขยายกำลังการผลิตที่โรงกลั่นในประเทศนิวซีแลนด์ นอกจากนี้ยังได้เปิดตัว ‘Caorunn Tom Yum Infused Gin’ เหล้าจินรุ่นพิเศษที่ผลิตขึ้นในจำนวนจำกัด เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 170 ปี
นอกเหนือจากการขับเคลื่อนการเติบโตแล้ว ธุรกิจสุรายังให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการติดตามความเคลื่อนไหวของราคาวัตถุดิบหลักอย่างใกล้ชิด ควบคู่ไปกับการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน และควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการโฆษณาและส่งเสริมการขายอย่างรอบคอบ
ในขณะเดียวกัน ธุรกิจสุรายังให้ความสำคัญเรื่องความยั่งยืน โดยได้เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน ผ่านการติดตั้งแผงผลิตพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาในโรงงานหลายแห่ง ทั้งภายในประเทศและตลาดต่างประเทศ พร้อมทั้งดำเนินโครงการจัดการของเสียอย่างครบวงจร เพื่อก้าวสู่เป้าหมายการลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปฝังกลบให้เป็นศูนย์ (Zero Waste to Landfill) ตลอดจนการขยายโรงผลิตก๊าซชีวภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการนำพลังงานกลับมาใช้ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ธุรกิจเบียร์
ในช่วง 9 เดือน ปี 2568 ธุรกิจเบียร์มีรายได้จากการขาย 96,497 ล้านบาท ซึ่งยังทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสภาวะตลาดที่ท้าทายในประเทศเวียดนาม แม้ว่าจะมีปริมาณขายรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 ก็ตาม นอกจากนี้ยังมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA margin) เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 12.5 เป็นร้อยละ 13.0 อันเป็นผลจากต้นทุนวัตถุดิบหลักที่ลดลง และประสิทธิภาพในการผลิตที่ดีขึ้น ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจมี EBITDA เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 เป็น 12,573 ล้านบาท
นายไมเคิล ไชน์ ฮิน ฟา ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเบียร์ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท เบียร์โค ลิมิเต็ด กล่าวว่า “แม้ว่าการบริโภคในตลาดเวียดนามจะชะลอตัวลง แต่ธุรกิจเบียร์ยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น การบริหารจัดการต้นทุนอย่างรอบคอบ และการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน โดยเรายังคงมุ่งเน้นดำเนินกลยุทธ์หลักอย่างต่อเนื่อง ด้วยการบริหารกลุ่มผลิตภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพ ยกระดับสถานะของตราสินค้าช้างในประเทศไทย และเสริมแกร่งความเป็นผู้นำตลาดของซาเบโก้ในประเทศเวียดนาม เพื่อวางรากฐานธุรกิจเบียร์ให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในทั้งสองตลาดหลัก”
สายธุรกิจเบียร์ ประเทศไทย
นางนงนุช บูรณะเศรษฐกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อํานวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเบียร์ ประเทศไทย กล่าวว่า เรายังคงมุ่งมั่นเสริมแกร่ง ช้าง ซึ่งเป็นตราสินค้าหลักของเรา และเบียร์อันดับ 1 ของประเทศไทย พร้อมเสริมสร้างการมองเห็นตราสินค้าและการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องผ่านการขับเคลื่อนนวัตกรรมและกิจกรรมการตลาดที่ทรงพลัง ภายใต้กลยุทธ์หลัก 6 ประการ ที่ครอบคลุมการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์พรีเมียม เพิ่มศักยภาพการกระจายสินค้า ยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน และพัฒนาการดำเนินงานด้านความยั่งยืน”
กลยุทธ์หลักทั้ง 6 ประการ ประกอบด้วย
• การบริหารจัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์ (Brand Portfolio Management):
• เสริมแกร่งด้านช่องทางการจัดจำหน่าย (Strengthen Route-to-Market): เดินหน้าขยายช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่องทั้งการบริโภคที่บ้านและการบริโภคที่ร้าน ด้วยการเสริมสร้างการมองเห็นสินค้า การมีสินค้าพร้อมจำหน่าย การใช้งานแพลตฟอร์มดิจิทัล การสร้างตราสินค้าที่ทรงพลัง และการผสานความร่วมมือกับร้านค้าและสถานที่จำหน่าย
• ความเป็นเลิศด้านการปฏิบัติงาน (Operational Excellence): การใช้วัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การเพิ่มประสิทธิภาพในห่วงโซ่อุปทาน การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายทางการค้าอย่างเหมาะสม การนำระบบอัตโนมัติมาใช้กับกระบวนการทำงานที่สำคัญ รวมถึงการพัฒนาระบบการส่งมอบสินค้าถึงผู้บริโภคให้ดียิ่งขึ้น
• เสริมศักยภาพบุคลากร (Unlock People Capability): ลงทุนในการพัฒนาบุคลากรผ่านการฝึกอบรม การเสริมสร้างทักษะ การสนับสนุนด้านเครื่องมือและทรัพยากร เพื่อยกระดับศักยภาพการดำเนินงาน พร้อมขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ
• ความยั่งยืน (Sustainability): ยกระดับการดำเนินด้านความยั่งยืนด้วยการใช้พลังงานสะอาดและวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำมารีไซเคิลได้
• สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ตราสินค้าช้าง (Unlock Value of the Chang Brand): มองหาโอกาสการเติบโตในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ด้วยน้ำแร่ธรรมชาติตราช้างและโซดาช้าง
สายธุรกิจเบียร์ ประเทศเวียดนาม
อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประเทศเวียดนามเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง ท่ามกลางสภาวะการบริโภคที่ชะลอตัว อันเป็นผลกระทบจากข้อกำหนดตามพระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 100 (Decree 100) และฉบับที่ 168 (Decree 168)
นายเลสเตอร์ ตัน เต็ก ชวน กรรมการผู้จัดการของซาเบโก้ กล่าวว่า “แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทาย แต่ Bia Saigon ยังสามารถครองความเป็นผู้นำตลาดเบียร์ในประเทศเวียดนาม โดยเรายังคงให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อเสริมสร้างตราสินค้า ขับเคลื่อนวัตกรรมผ่านการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ พัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน และผลักดันเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (“ESG”) เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง พร้อมรองรับการฟื้นตัวของตลาดในอนาคต โดยมุ่งเน้นดำเนินกลยุทธ์หลัก 4 ประการ อันจะช่วยส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบ”
กลยุทธ์หลัก 4 ประการ ประกอบด้วย
• เสริมแกร่งความเป็นผู้นำตลาด (Strengthen Market Leadership): รักษาความเป็นเบียร์อันดับ 1 ในประเทศเวียดนามของ Bia Saigon พร้อมทั้งเดินหน้าเสริมแกร่งความเป็นผู้นำตลาดสินค้าเมนสตรีม (mainstream) อย่างต่อเนื่อง
• ขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อการเติบโต (Accelerate Innovation to Drive Growth): เดินหน้าลงทุนด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมทั้งสร้างโอกาสในการเติบโตของรายได้ โดยกลุ่มได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์เบียร์ 333 Pilsner และ Bia Saigon Chill ในรูปแบบกระป๋องขนาด 250 มล.
เพื่อเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับราคาเป็นพิเศษ และผู้ที่ต้องการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่น้อยลง นอกจากนี้ยังได้เปิดตัว Bia Lac Viet รูปโฉมใหม่ที่มีความทันสมัยมากขึ้น เพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับตราสินค้า รวมถึงจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาแห่งใหม่ขึ้นเพื่อพัฒนาสูตรและบรรจุภัณฑ์โดยเฉพาะ
• การดำเนินงานที่เป็นเลิศ (Operational Excellence): เสริมสร้างความสามารถในการทำกำไรและความเป็นเลิศในการปฏิบัติงานด้วยการใช้วัตถุดิบและพลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพิ่มประสิทธิภาพด้านการขนส่งสินค้าด้วยการพัฒนาการบริหารคลังสินค้าและกระบวนการขนส่ง และขยายช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านระบบอีคอมเมิร์ซและโมเดิร์นเทรด
โดยหนึ่งในการดำเนินการที่สำคัญในปีนี้คือการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของซาเบโก้ในบริษัทร่วม Saigon Binh Tay Beer Group JSC (Sabibeco) จากร้อยละ 21.8% เป็น 65.9% ซึ่งจะช่วยเสริมประสิทธิภาพจากการทำงานร่วมกัน และขยายกำลังการผลิต โดยเฉพาะการผลิตกระป๋อง อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มตราสินค้า Sagota ของ Sabibeco เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผลิตภัณฑ์ อันจะช่วยเสริมแกร่งความเป็นผู้นำของซาเบโก้ ในฐานะบริษัทผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม
• ขับเคลื่อนผลลัพธ์ที่ดีตามหลัก ESG (Drive Positive Impact through ESG Commitments):เดินหน้าสู่เป้าหมายด้าน ESG โดยทยอยเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียน เพิ่มสัดส่วนการใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่รีไซเคิลได้ บริหารจัดการน้ำตามแนวทางการใช้น้ำอย่างรับผิดชอบ ยกระดับด้านการกำกับดูแลกิจการและความโปร่งใส และร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่นในด้านการบรรเทาสาธารณภัย รวมถึงให้การสนับสนุนด้านกีฬาและวัฒนธรรม
ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์
ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์มีรายได้จากการขายช่วง 9 เดือน ปี 2568 ลดลงร้อยละ 0.7 จากปีก่อน เป็น 49,326 ล้านบาท แม้ปริมาณขายรวมจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 โดยการลงทุนในตราสินค้าและกิจกรรมทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงผู้บริโภคในทุกช่องทาง ประกอบกับส่วนแบ่งกำไรของบริษัทร่วมที่ลดลง ส่งผลให้ธุรกิจมี EBITDA ลดลงร้อยละ 6.3 เป็น 8,718 ล้านบาท
นายโฆษิต สุขสิงห์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่และผู้บริหารสูงสุดปฏิบัติการประเทศไทย ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานดิจิทัลและเทคโนโลยี กล่าวว่า กลุ่มผลิตภัณฑ์ของเรายังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงที่การบริโภคชะลอตัวลง เราจะเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งให้ตราสินค้าหลัก พร้อมขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และนำเครื่องมือดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงผู้บริโภคทุกที่ ยิ่งไปกว่านั้น
การรวมธุรกิจและการดำเนินงานของ F&N เข้ามาอยู่กับกลุ่มไทยเบฟ ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งจากการผนึกกำลังกัน และยกระดับกลยุทธ์ด้านช่องทางการจำหน่ายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เพิ่มศักยภาพของกลุ่มให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคด้วยผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่หลากหลาย ครอบคลุมทุกโอกาสของการดื่ม ควบคู่ไปกับการยึดมั่นดำเนินธุรกิจด้วยความยั่งยืน
กลุ่มเดินหน้าตามกลยุทธ์ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่องผ่าน 4 เสาหลัก ได้แก่
• เสริมแกร่งตราสินค้าหลัก (Strengthen Core Brands):
นอกจากนี้ เอสยังสร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญในฐานะผู้สนับสนุนหลักของการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก FIVB ปี 2025พร้อมเปิดตัวแคมเปญ “เสิร์ฟเอส เชียร์ไทยให้ AWESOME” ที่มาพร้อมกระป๋องลายพิเศษในธีมวอลเลย์บอลให้ได้สะสม และกิจกรรมสุดพิเศษที่เปิดโอกาสให้แฟน ๆ วอลเลย์บอลได้มีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิด
รวมถึงการขยายจุดจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ เพื่อสร้างการรับรู้ การเข้าถึงสินค้า และการทดลองสินค้า ณ จุดขาย ในส่วนของ Magnolia กลุ่มยังคงเดินหน้าสร้างความตื่นเต้นกับตลาดอย่างต่อเนื่องด้วยการเปิดตัวไอศกรีม ‘Magnolia HERSHEY’s’ เพื่อขยายฐานผู้บริโภคไปยังกลุ่มใหม่ ๆ และมอบประสบการณ์สุดพิเศษแก่กลุ่มผู้ที่ชื่นชอบช็อกโกแลตโดยเฉพาะ
• การเข้าถึงผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ (Reach Competitively): เสริมสร้างขีดความสามารถในการเข้าถึงผู้บริโภคผ่านจุดขายในประเทศไทยกว่า 600,000 จุด รวมทั้งเครือข่ายการกระจายสินค้าในประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ ที่ครอบคลุมทั้งร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ร้านโชห่วย ตลอดจนช่องทางการให้บริการอาหารในโรงแรม ร้านอาหาร และบริการจัดอาหารนอกสถานที่ (HORECA)
• ดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต (Digital for Growth): เสริมสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคผ่านโซเชียลมีเดีย พร้อมทั้งนำข้อมูลเชิงลึกมาช่วยสนับสนุนการตัดสินใจ และขยายช่องทางการขายผ่านอีคอมเมิร์ซ ครอบคลุมทั้ง B2B ซึ่งรวมถึงแพลตฟอร์มตลาดออนไลน์รายใหญ่ และ D2C บนแพลตฟอร์มของกลุ่มเอง อาทิ Sermsuk Click ที่รวมผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของกลุ่มไว้ในที่เดียวกัน
• สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth): กลุ่มได้ให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม การดำเนินงานอย่างมีความรับผิดชอบ พร้อมทางสร้างประโยชน์ต่อสังคม นอกจากนี้ยังได้ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณน้ำตาลน้อยและไม่มีน้ำตาล รวมถึงเครื่องดื่มที่ได้รับเครื่องหมาย 'ทางเลือกเพื่อสุขภาพ' พร้อมทั้งดำเนินโครงการด้านความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน และการติดตั้งแผงผลิตพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาของโรงงาน
ธุรกิจอาหาร
ธุรกิจอาหารมีรายได้จากการขายช่วง 9 เดือน ปี 2568 ลดลงร้อยละ 1.4 จากปีก่อน เป็น 16,563 ล้านบาท อันเป็นผลจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายและความต้องการในตลาดโดยรวม นอกจากนี้ ต้นทุนวัตถุดิบและค่าแรงที่สูงขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจมี EBITDA ลดลงเป็น 1,578 ล้านบาท
นายไพศาล อ่าวสถาพร ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหาร ประเทศไทย กล่าวว่า เราเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจอาหารด้วยกลยุทธ์ที่สมดุลระหว่างการขยายสาขาใหม่ การขับเคลื่อนการเติบโตของยอดขายที่แท้จริง การเสริมแกร่งพื้นฐานทางธุรกิจ และการพัฒนาด้านความยั่งยืน เพื่อมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารที่น่าประทับใจ พร้อมสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนให้แก่ลูกค้า พนักงาน และชุมชน
กลยุทธ์หลัก 4 ประการที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจอาหารสู่ความสำเร็จในระยะยาว ได้แก่
• การขยายสาขาใหม่ (New Store Expansion):
• การขับเคลื่อนการเติบโตของยอดขายที่แท้จริง (Driving Organic Growth):
• การเสริมแกร่งพื้นฐานทางธุรกิจ Strengthen Business Fundamentals:
• การพัฒนาด้านความยั่งยืน (Embracing Sustainability):