ตลาดน้ำเมา 3 แสนล้านคึกคัก จับตา กม.ใหม่ ปลุกเศรษฐกิจ-จ้างงาน

18 ก.ย. 2568 | 22:05 น.

จับตาอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 3 แสนล้าน หลังประกาศ พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับใหม่ นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯ ชี้ส่งผลกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงบวก ต่อรายใหญ่และร้านค้าขนาดเล็ก เกิดการจ้างงาน เงินหมุนเวียนในระบบ

KEY

POINTS

  • มีการประกาศใช้ พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ พ.ศ. 2568 เพื่อปรับปรุงกฎหมายเดิมที่ใช้มานานกว่า 17 ปี
  • กฎหมายใหม่มีการปลดล็อกบางส่วน โดยอนุญาตให้ปรับเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ในบางพื้นที่ เช่น โรงแรม สนามบินและสถานบริการ แต่เพิ่มความเข้มงวดในการโฆษณา
  • คาดว่าการผ่อนคลายกฎระเบียบจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง
  • การเปลี่ยนแปลงของกฎหมายถูกมองว่าจะส่งผลดีต่อการจ้างงานในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ร้านอาหาร และภาคการท่องเที่ยว

การประกาศใช้พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2568 เพื่อปรับปรุงและยกระดับกฎหมายให้สอดรับกับสภาพการณ์ปัจจุบัน กฎหมายฉบับใหม่นี้ถือได้ว่าเป็นการปรับกติกาอีกครั้งหลังจากใช้กฎหมายเดิมมานานกว่า 17 ปี โดยสาระสำคัญที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อเทียบกับฉบับปี 2551 อยู่ที่การนิยาม การขยายขอบเขตการควบคุม และการเพิ่มโทษเพื่อให้มีผลบังคับใช้อย่างจริงจังมากขึ้น

 หนึ่งในประเด็นที่ชัดเจนที่สุดคือการนิยามคำว่า “โฆษณา” ที่กว้างขึ้นจากเดิมพ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 เน้นการห้ามสื่อสารที่เชิญชวนให้ดื่มหรือสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกต่อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ในฉบับปี 2568 ได้เพิ่มสาระสำคัญอย่างสามารถสื่อสารได้ในเชิงการให้สาระความรู้ และขอบเขตไปถึงการใช้สัญลักษณ์ โลโก้ สี หรือถ้อยคำ ที่แม้จะปรากฏในสินค้าอื่น หากผู้บริโภคสามารถเชื่อมโยงกลับไปถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็ถือว่าเป็นการโฆษณาที่เข้าข่ายผิดกฎหมายทันที ซึ่งประเด็นสำคัญยังคงครอบคลุมแบบฉบับเดิม แต่ต้องรอกฎหมายลูกในขั้นตอนต่อไป

 ในด้านของการจำหน่าย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังคงถูกควบคุมด้วยกรอบเวลาเช่นเดิม คือห้ามขายใน 14.00 – 17.00 น. แต่มีการปลดล็อคในบางสถานที่เช่น สนามบิน โรงแรม สถานบริการ ที่กฎหมายกำหนด ซึ่ง พ.ร.บ. ควบคุมฉบับที่ 2 นี้จะมีผลบังคับใช้อีก 60 วันหลังจากมีประกาศหรือในเดือนพฤศจิกายนนี้

ตลาดน้ำเมา 3 แสนล้านคึกคัก จับตา กม.ใหม่ ปลุกเศรษฐกิจ-จ้างงาน

 อย่างไรก็ตาม การออกประกาศ พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับที่ 2 ปี พ.ศ. 2568 นี้ ย่อมส่งผลต่ออุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งในปีนี้คาดว่าตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของไทยจะมีมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท โดยเบียร์ยังคงเป็นหมวดที่จำหน่ายได้มากที่สุด มีสัดส่วน 70–73% ของปริมาณจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมด

 นายกวี สระกวี นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงความพยายามในการผลักดันพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับที่ 2 ว่า “เรื่องนี้เริ่มมานานมาก หลายปีทีเดียว แต่ช่วงแรกยังไม่เป็นรูปเป็นร่างชัดเจน”

ตลาดน้ำเมา 3 แสนล้านคึกคัก จับตา กม.ใหม่ ปลุกเศรษฐกิจ-จ้างงาน

 การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเกิดขึ้นหลังรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยุค คสช. ซึ่งเปิดช่องให้ประชาชนเสนอร่างกฎหมายได้โดยการรวบรวมรายชื่อ ซึ่งฝั่งหนึ่งเป็นความร่วมมือจากภาคประชาชนและผู้เชี่ยวชาญ เช่น อาจารย์เจริญ จรุงชัย ที่ได้รวบรวมลายเซ็นสนับสนุนการแก้ไขกฎหมาย อีกฝั่งหนึ่งคือการรอรัฐบาลที่พร้อมรับข้อเสนอเข้าสู่การพิจารณาในรัฐสภา

 “จนกระทั่งมีรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ จึงทำให้สามารถนำเข้ารัฐสภาได้ พร้อมกับการเสนอร่างจากหลายฝ่าย ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน จึงรวมเป็นทั้งหมด 5 ร่างในที่สุด” นายกวีกล่าว

 ประเด็นสำคัญของพรบ.ฉบับที่ 2 อยู่ที่ การควบคุมขายและสื่อสารประชาสัมพันธ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่กำหนดชัด คือข้อกำหนดด้านเวลาในการขาย และการประชาสัมพันธ์

 “ตามประกาศคณะปฏิวัติปี พ.ศ. 2515 (มาตรา 215) การจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถูกจำกัดช่วง 14.00 –17.00 น. กฎหมายฉบับใหม่ไม่ได้ยกเลิกทั้งหมด แต่เปิดโอกาสให้ปรับเวลาการขายได้ตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ เช่น ร้านอาหาร โรงแรม หรือพื้นที่ท่องเที่ยว โดยไม่จำกัดเฉพาะช่วงเดิม ซึ่งถือเป็นการปลดล็อคบางส่วนและสร้างความยืดหยุ่นให้ธุรกิจ”

 นอกจากเวลาการขาย กฎหมายฉบับใหม่ยังเพิ่ม ความรับผิดชอบของผู้ขาย ด้วย หากผู้บริโภคเกิดอุบัติเหตุหรือความเสียหายหลังจากการดื่ม ผู้ขายอาจต้องรับผิดชอบด้วย เช่น ขายให้ผู้เมาแล้วเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนก็มีโอกาสถูกเรียกค่าปรับ

 อีกประเด็นคือ การสื่อสารและประชาสัมพันธ์ ก่อนหน้านี้มีช่องว่างที่อนุญาตให้ใช้สัญลักษณ์อื่น เช่น โลโก้น้ำดื่ม เพื่อโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยไม่ผิดกฎหมาย แต่การตีความใช้งานจริงมักสร้างความเสี่ยงต่อผู้ประกอบการ โดยเฉพาะร้านเล็กหรืออินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งพรบ.ฉบับใหม่ปิดช่องว่างเหล่านี้ แต่ยังอนุญาตให้ประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูลสินค้าได้ในกรอบที่กำหนด

 นายกวี ชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงของ พรบ.ฉบับที่ 2 มีสองมิติสำคัญ คือ การเพิ่มเสรีภาพทางธุรกิจและการเพิ่มความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งส่งผลต่อผู้ประกอบการ ร้านอาหาร โรงแรม และแรงงานในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การปรับเวลาและข้อกำหนดด้านประชาสัมพันธ์จึงไม่ใช่เพียงเรื่องกฎหมาย แต่สะท้อนถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจและแรงงานในวงกว้าง

 “การปลดล็อคในบางมาตราของพรบ.ฉบับใหม่นี้จะช่วย กระตุ้นเศรษฐกิจเชิงบวก ให้กับทั้งธุรกิจรายใหญ่และร้านค้าขนาดเล็ก โดยเฉพาะด้านการจ้างงานและการหมุนเวียนของเงินทุนในอุตสาหกรรม ซึ่งจะเห็นว่า ร้านอาหาร โรงแรม และธุรกิจท่องเที่ยวมีโอกาสเพิ่มรายได้จากช่วงเวลาการขายที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและแรงงานในหลายพื้นที่ จึงอยากให้รัฐบาลชุดใหม่ มองเรื่องการใช้พรบ.ฉบับนี้อย่างต่อเนื่อง สร้างสมดุลระหว่างเสรีภาพทางธุรกิจและความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อให้ตลาดเติบโตอย่างยั่งยืน และสามารถปรับตัวกับความต้องการผู้บริโภคได้จริง”

 อย่างไรก็ตาม หากมองย้อนกลับไป ประเทศไทยมี พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 กฎหมายฉบับนี้ถูกออกแบบมาเพื่อวางกรอบในการควบคุมการผลิต การจำหน่าย และการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นครั้งแรกอย่างจริงจัง โดยเจตนารมณ์หลักอยู่ที่การปกป้องสาธารณสุขและลดผลกระทบทางสังคมจากการบริโภคแอลกอฮอล์

 มาตรการสำคัญของกฎหมายฉบับเดิมครอบคลุมตั้งแต่การห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี การห้ามจำหน่ายในสถานที่ที่มีลักษณะพิเศษ เช่น สถานศึกษา วัด หรือสถานที่ราชการ ตลอดจนการกำหนดช่วงเวลาห้ามจำหน่ายในช่วงเวลา 14.00 – 15.00 น. ที่เป็นคำสั่งจากคณะปฎิวัติปี พ.ศ. 2515 รวมถึงวันสำคัญทางศาสนา นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดว่าการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องไม่สื่อสารในลักษณะเชิญชวน ไม่อวดอ้างคุณภาพหรือคุณประโยชน์ และต้องระบุข้อความเตือนโทษภัยจากการดื่มอย่างชัดเจน

 แม้ข้อกำหนดดังกล่าวจะถือว่ามีความเข้มงวดในยุคนั้น แต่การบังคับใช้ในช่วงเวลาที่ผ่านมาได้สะท้อนให้เห็นถึงข้อจำกัดและปัญหาที่เกิดขึ้นตามบริบทของสังคมและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในช่วงสิบปีหลังที่สื่อออนไลน์เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ส่งผลให้รูปแบบการสื่อสารการตลาดเปลี่ยนไปอย่างมีนัยยะสำคัญทั้งจากผู้ผลิตโดยตรงและจากผู้บริโภค