KEY
POINTS
เศรษฐกิจไทยกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2568 ภายใต้บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากทั้งในและต่างประเทศ ปัจจัยลบที่รุมเร้าอย่างค่าเงินบาทแข็ง การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ภาษีทรัมป์ (Trump Tax) ต่อสินค้าส่งออกไทยในอัตรา 19% รวมถึงความเชื่องช้าของการเบิกจ่ายภาครัฐ กำลังเป็นตัวฉุดแรงส่งทางเศรษฐกิจที่เหลืออยู่
ในทางกลับกันปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลเตรียมเดินหน้า เช่น คนละครึ่งพลัส รวมถึงฤดูกาลจับจ่ายปลายปี เชื่อว่าจะส่งผลให้หลายธุรกิจยังมีโอกาสขยับยอดขาย และพยุงตลาดภายในประเทศให้มีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง
ผศ.ดร.เอกก์ ภทรธนกุล อุปนายกฝ่ายกิจกรรม สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย และหัวหน้าภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 ถือว่า “เปราะบางและต้องการมาตรการเร่งด่วน” โดยเตือนว่าหากรัฐบาลไม่ดำเนินการใด ๆ ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ตัวเลข GDP ไทยมีโอกาส “ต่ำกว่า 1% แน่นอน”
“รัฐบาลต้องเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐให้เกิดผลทันที โดยเฉพาะงบอบรม พัฒนา หรือจัดซื้อที่เบิกได้เร็ว เพื่อให้เงินเข้าสู่ระบบ เศรษฐกิจไทยตอนนี้ต้องการสัญญาณบวกด้านความมั่นใจมากกว่าตัวเลข นอกจากนี้รัฐบาลควร “ปัดฝุ่น” โครงการ EEC Plus และนโยบาย Quick Big Win ที่เคยมีในอดีต เพื่อให้เกิดผลเร็วที่สุดใน 4 เดือนสุดท้ายของปี”
ทั้งนี้จะเห็นว่านโยบายด้านภาษีถือเป็นเครื่องมือที่รัฐบาลสามารถใช้ได้ทันทีในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมาตรการ Easy E-Receipt หรือลดหย่อนภาษีจากการซื้อสินค้าและบริการ ซึ่งเคยประสบความสำเร็จในการสร้างแรงกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงปลายปีที่ผ่านมา
แม้ภาพรวมเศรษฐกิจยังมีความเสี่ยง แต่สัญญาณบวกจากภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวจีนที่กลับมาเป็นอันดับหนึ่งในช่วงโกลเด้นวีค กำลังช่วยหนุนรายได้ภาคบริการให้หมุนเวียนอีกครั้ง ดังนั้นไตรมาส 4 คือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่รัฐบาลต้องเลือกว่าจะปล่อยให้เงินฝืดกัดกินเศรษฐกิจ หรือจะเร่งขับเคลื่อนนโยบายเติมเงินเข้าสู่ระบบ เพื่อปลุกพลังการใช้จ่ายของประชาชนให้กลับมา
ขณะที่นายองอาจ กิตติคุณชัย นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) หรือ SUN เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในไตรมาส 4 ปีนี้ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญกับแรงกดดันสองทางหลัก คือ “ค่าเงินบาทแข็ง” ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อรายได้จากการส่งออก และ “ภาษีทรัมป์” ที่สหรัฐอเมริกากำหนดเก็บในอัตรา 19% แม้ขณะนี้จะทราบอัตราที่แน่นอนแล้ว แต่ก็ยังถือว่าเป็นภาระหนักสำหรับผู้ส่งออกไทย โดยเฉพาะกลุ่มอาหารพร้อมทานที่มีกำไรไม่สูงมาก
“ค่าเงินบาทแข็งส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกอย่างชัดเจน ขณะที่ภาษีทรัมป์ทำให้ต้องปรับโครงสร้างราคาและเจรจากับคู่ค้าใหม่ เพื่อไม่ให้สูญเสียตลาดหลักในต่างประเทศ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะถดถอย แต่ธุรกิจอาหารยังมีข้อได้เปรียบตรงที่เป็นสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีพ จึงได้รับผลกระทบน้อยกว่าภาคธุรกิจอื่น”
สำหรับ SUN ซึ่งมีสินค้าหลักเป็นข้าวโพดหวาน มันหวาน ฟักทอง และผลไม้แปรรูป ปัจจุบันรายได้ยังอยู่ในระดับมั่นคง แม้กำไรลดลงจากผลกระทบค่าเงินบาท แต่ตลาดหลักอย่างญี่ปุ่น เกาหลี และไต้หวันยังเติบโตดี โดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่นที่เติบโตสูงสุดในปีนี้ บริษัทจึงเดินหน้าแผนการออกสินค้าใหม่อีก 2–3 โปรดักส์ในไตรมาส 4 เพื่อชดเชยต้นทุนและกระตุ้นรายได้ให้เท่าหรือสูงกว่าปี 2567 พร้อมขยายสำนักงานใหม่ในกรุงเทพฯ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการตลาด
“เรายังเชื่อมั่นในทิศทางธุรกิจ แม้กำไรอาจไม่เป็นไปตามคาด แต่การลงทุนต่อเนื่องในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมาเริ่มเห็นผลแล้ว การขยายตลาดและพัฒนาโปรดักส์ใหม่คือทางรอดในปีที่เศรษฐกิจโลกยังไม่แน่นอน” นายองอาจกล่าว
ด้านนายธนพงษ์ จิราพาณิชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TAN กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัว โดยผู้บริโภคกลุ่มรายได้สูงเริ่มระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่กลับมาเต็มศักยภาพ โดยเฉพาะตลาดจีนที่ยังมีความกังวลเรื่องความปลอดภัย
“มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น “คนละครึ่งพลัส” และมาตรการภาษี e-Tax จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อและสร้างความเชื่อมั่นในตลาดพรีเมียม แม้เศรษฐกิจโดยรวมยังไม่ฟื้นเต็มที่ แต่กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยและแฟชั่นยังคงเติบโตเป็นบวก เพราะผู้บริโภคมองหาความคุ้มค่าทางอารมณ์และคุณภาพ”
สำหรับแผนธุรกิจในไตรมาสสุดท้าย TAN เตรียมขยายสาขาแบรนด์ในเครือหลายราย ทั้ง Marimekko ที่ดุสิตปาร์ค, Street Pizza ที่สยามพารากอน และ United Arrows สาขาใหม่ที่เซ็นทรัลชิดลม รวมถึงเปิดตัวแบรนด์ใหม่ LIVE! Activewear เพื่อเจาะตลาดสุขภาพและแฟชั่น พร้อมตั้งเป้าการเติบโตเฉลี่ย 7–8% ต่อปี และเตรียมนำเข้าแบรนด์บิวตี้จากญี่ปุ่นในปีหน้า เพื่อขยายฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่
ขณะที่นายอรุณ เรืองจรุงพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยสเตนเลสสตีล จำกัด ผู้ผลิตเครื่องครัวแบรนด์ “Seagull” กล่าวว่า ภาพรวมตลาดเครื่องครัวในไตรมาส 4 ยังคงทรงตัว หลังจากชะลอตัวต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงโควิด-19 โดยเฉพาะในตลาดหม้อ กระทะ และเครื่องครัวทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัวและการเปิดร้านอาหารใหม่ลดลง ยอดขายในรอบสองปีที่ผ่านมาหดลงประมาณ 20%
“ผู้บริโภคยุคนี้ระมัดระวังมากขึ้นในการใช้จ่าย โดยเฉพาะสินค้าที่ไม่จำเป็นเร่งด่วน ทำให้ตลาดเครื่องครัวเติบโตช้า แต่เรายังเดินหน้าลงทุนในเทคโนโลยีใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และขยายสู่ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กภายใต้แบรนด์ใหม่ ‘Seagull Electric’ ซึ่งจะเริ่มเห็นผลจริงในปี 2571”
สำหรับช่วงปลายปีนี้ บริษัทวางกลยุทธ์รุกตลาดผ่านโปรโมชั่นในเทศกาลของขวัญ เพื่อดึงยอดขายและเพิ่มความคุ้มค่าให้ผู้บริโภคโดยไม่ลดคุณภาพสินค้า ตั้งเป้ารายได้แบรนด์ใหม่แตะ 500 ล้านบาทในอีก 3 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ดี ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2568 จึงมีลักษณะ “สองขั้ว” อย่างชัดเจน ด้านหนึ่งคือแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ค่าเงินบาทแข็ง ภาษีส่งออก และความล่าช้าในการเบิกจ่ายภาครัฐ อีกด้านคือความหวังจากมาตรการภาครัฐด้านการคลัง ฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี และพลังของภาคธุรกิจที่พยายามปรับตัว
ส่วนภาคการผลิตและส่งออกยังเผชิญแรงต้านจากต้นทุนและอัตราแลกเปลี่ยน ขณะที่ภาคค้าปลีก บริการ และสินค้าอุปโภคบริโภคยังพออาศัยฤดูกาลจับจ่ายพยุงยอดขายได้บางส่วน นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่ารัฐบาลต้อง “เร่งเบิกจ่ายและออกมาตรการทางภาษีให้เร็ว” เพื่อไม่ให้ความเชื่อมั่นภาคเอกชนชะงัก
หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,140 วันที่ 16 - 18 ตุลาคม พ.ศ. 2568