นักวิชาการ ชี้ 'เงินฝืด’ คุกคามเศรษฐกิจไทย แนะ เติม-กระตุ้น กำลังซื้อรากหญ้า

09 ต.ค. 2568 | 03:53 น.
อัปเดตล่าสุด :09 ต.ค. 2568 | 03:58 น.

นักวิชาการชี้ ภาวะเงินฝืดไตรมาส 4 กระทบความเชื่อมั่น ทั้งระดับมหภาค ธุรกิจและครัวเรือน แนะเติมเงินในกระเป๋า เพิ่มกำลังซื้อรากหญ้า

KEY

POINTS

  • ผู้เชี่ยวชาญเตือนถึงความเสี่ยงภาวะเงินฝืดในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับประเทศ ธุรกิจ และครัวเรือน
  • ผลกระทบหลักของเงินฝืดคือการทำลายความเชื่อมั่น ทำให้การลงทุนชะลอตัว ธุรกิจขายสินค้าได้ยากขึ้น และประชาชนเลือกเก็บออมแทนการใช้จ่าย
  • ข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาคือการใช้มาตรการ 2 ส่วนควบคู่กัน คือการ "เติมเงิน" และ "กระตุ้น" กำลังซื้อ
  • การ "เติมเงิน" คือการลดค่าใช้จ่ายพื้นฐานให้ประชาชน และต้อง "กระตุ้น" ให้เกิดการใช้จ่ายจริงทั้งในฝั่งผู้บริโภคและภาคธุรกิจ เพื่อให้เงินหมุนเวียนในระบบ

ผศ. ดร.เอกก์ ภทรธนกุล อุปนายกฝ่ายกิจกรรม การสื่อสารและการตลาดยั่งยืน สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย และหัวหน้าภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงความกังวลต่อสถานการณ์ "ภาวะเงินฝืด" ที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 4 (Q4) ของปีนี้ โดยเตือนว่า หากเกิดภาวะดังกล่าวจริง จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้างถึง 3 ระดับ และทางออกที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการคือการ "อัดฉีดความมั่นใจ" เข้าสู่ระบบอย่างเร่งด่วน

ภาวะเงินฝืดจะสร้างผลกระทบหลักคือการ ขาดความเชื่อมั่น (Confidence) ในทุกภาคส่วน โดยแบ่งผลกระทบได้ดังนี้

  • ระดับมหภาค ส่งผลกระทบต่อ ภาพลักษณ์ของประเทศ ทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนลดลง นักลงทุนต่างชาติอาจชะลอการตัดสินใจ ทำให้การลงทุนใหม่ ๆ ไม่เกิดขึ้น
  • ระดับธุรกิจ ผู้บริหารจะเกิดความไม่มั่นใจ เนื่องจากคาดการณ์ว่า ลูกค้าปลายทางจะลดการใช้จ่าย ทำให้สินค้าและบริการ ขายยากขึ้น ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของธุรกิจโดยตรง
  • ระดับครัวเรือน ประชาชนจะ ระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น รู้สึกว่า "ใช้ชีวิตได้ยากขึ้น" และพร้อมใจกันเก็บเงินแทนการใช้จ่าย ซึ่งจะยิ่งทำให้เงินในระบบหมุนเวียนช้าลง และเร่งให้เกิดภาวะเงินฝืดลึกขึ้น

ผศ.ดร.เอกก์ กล่าวว่า ในมุมมองของ นักวิชาการมองว่าความเสี่ยงของ “เงินฝืด” (deflation) ในช่วงไตรมาส 4 ไม่ได้เป็นปัญหาเชิงตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่จะกัดกร่อนความเชื่อมั่น (confidence) ในทุกระดับของเศรษฐกิจ พร้อมเสนอแนะว่า มาตรการของรัฐบาลที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาจะต้องทำควบคู่กัน 2 ส่วน เพื่อแก้ปัญหาการขาดความมั่นใจ

การเติมเงิน เป็นการลดค่าใช้จ่ายพื้นฐาน เพื่อให้ประชาชนมีเงินเหลือในกระเป๋าเพิ่มขึ้น เช่น นโยบายลดค่าไฟหรือค่าแก๊สที่กำลังดำเนินการ แต่มาตรการนี้ ไม่เพียงพอ

นักวิชาการ ชี้ 'เงินฝืด’ คุกคามเศรษฐกิจไทย แนะ เติม-กระตุ้น กำลังซื้อรากหญ้า

การกระตุ้น เป็นการกระตุ้นให้เงินที่ถูกเติมเข้าไป ไหลออกจากกระเป๋า ผ่านการใช้จ่าย โครงการอย่าง "คนละครึ่ง" หรือโครงการในลักษณะ Quick Big Win ที่รัฐบาลช่วยอุดหนุนการใช้จ่าย จึงถือเป็นการ ตีโจทย์ได้ดี เพราะกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย

“ธุรกิจต้องได้ กระตุ้น ไม่ใช่แค่ผู้บริโภค ในมุมของภาคธุรกิจ เน้นว่ารัฐไม่ควรมองแค่การอัดเงินเข้ากระเป๋าประชาชน เช่น ลดค่าไฟ ค่าน้ำ หรือคูปองส่วนลด แต่ต้องมีมาตรการที่กระตุ้นฝั่งธุรกิจให้พร้อมรับการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เช่น สนับสนุนสินเชื่อเพื่อการออโตเมชั่น การให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อปรับระบบดิจิทัล หรือมีโครงการร่วมโปรโมชันกับภาครัฐเพื่อเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภคและขยายช่องทางจำหน่ายให้เอสเอ็มอีเข้าถึงได้จริง ถ้าเติมเงินแล้วคนเก็บ ไม่ใช้ เงินฝืดก็ยังอยู่ดี”