KEY
POINTS
ท่ามกลางบริบทของโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านสภาพภูมิอากาศ, เทคโนโลยี, และภูมิรัฐศาสตร์ สมาคมประกันวินาศภัยไทย ได้จัดกิจกรรม Executive Talk เปิดเวทีให้ผู้บริหารสมาคม ซึ่งเป็นระดับผู้นำในอุตสาหกรรมได้ร่วมกันถอดรหัสความท้าทายและนำเสนอแนวทางการขับเคลื่อนธุรกิจด้วย "นวัตกรรม"
ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย ได้เปิดฉากการบรรยายพิเศษภายใต้หัวข้อ “เร่งสร้างนวัตกรรม สู่การเปลี่ยนผ่านธุรกิจประกันภัยที่ยั่งยืนในโลกใหม่” โดยย้ำว่า "โลกใหม่" ไม่ใช่แค่ยุคหลังโควิด แต่เป็นช่วงเวลาที่ความคาดหวังของผู้บริโภคเปลี่ยนไปสู่สังคมดิจิทัลที่บริการทุกขั้นตอนต้องไร้รอยต่อ
พร้อมเตือนว่า นวัตกรรมต้องถูกขับเคลื่อนเชิงรุกในทุกมิติ เพราะ ESG (Environment, Social, Governance) ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นข้อกำหนดสำคัญในการดำเนินธุรกิจ และเพื่อให้รอดพ้นจากภัยพิบัติที่ทวีความรุนแรงขึ้น ธุรกิจต้องปรับปรุงโมเดลความเสี่ยงและพัฒนา Climate Risk Insurance
การบรรยายของ นายฮากีม เบ็ญราฮีม ประธานคณะกรรมการประกันภัยทรัพย์สิน ได้เปิดเผยถึงความจำเป็นที่ธุรกิจต้องก้าวข้าม "การขับรถโดยมองแค่กระจกหลัง" ซึ่งหมายถึงการพึ่งพาสถิติย้อนหลังเพียงอย่างเดียว หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยปี 2554 เป็นบทเรียนราคาแพง
เครื่องมือสำคัญที่ถูกนำมาใช้เพื่อยกระดับการบริหารความเสี่ยงคือ CAT Model (Catastrophe Model) ซึ่งเป็นแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่ผสานข้อมูลวิทยาศาสตร์, ประวัติศาสตร์, และเทคโนโลยีเชิงพื้นที่เข้าด้วยกัน
ความแม่นยำระดับพิกัด: โมเดลนี้ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น Lidar (เทคโนโลยีที่ใช้แสงเลเซอร์วัดระดับความสูงของพื้นที่อย่างละเอียด) และ Digital Elevation Model (DEM) เพื่อสร้างแผนที่สามมิติ ที่สามารถจำลองเส้นทางการไหลของน้ำได้อย่างสมจริง
แผนที่ความเสี่ยงแบบ Real-Time: สมาคมฯ ได้จัดการระบบ FLIST (Flood List Assessment Mapping) ซึ่งช่วยให้บริษัทสมาชิกสามารถระบุพิกัด (ละติจูด-ลองจิจูด) และดูข้อมูลย้อนหลังของน้ำท่วมซ้ำซากได้ ผลลัพธ์ที่ได้ถูกแสดงในรูปแบบ แผนที่ความเสี่ยง (Heatmap) ซึ่งไม่เพียงแต่ใช้กำหนดเบี้ยประกัน แต่ยังเป็นข้อมูลสำคัญให้ภาครัฐใช้ในการวางผังเมือง
นายฮากีมเน้นย้ำว่า การลงทุนใน CAT Model คือการลงทุนเพื่อความปลอดภัยและความยั่งยืนของประเทศ
สถานการณ์สงครามการค้าและการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์โลก เป็นความท้าทายที่ นายจุฑาธวัช เพ็งศรี ประธานคณะกรรมการประกันภัยทางทะเลและโลจิสติกส์ กล่าวว่าส่งผลกระทบต่อธุรกิจขนส่งทางทะเลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กลยุทธ์ "เปลี่ยนถิ่นกำเนิดสินค้า": มาตรการภาษีตอบโต้ หรือ ภาษีทรัมป์ 2.0 ทำให้ผู้ประกอบการเลือกใช้ประเทศไทยและประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) เป็นฐานในการ "เปลี่ยนถิ่นกำเนิดสินค้า (Change Origin)" เพื่อเลี่ยงกำแพงภาษีเมื่อส่งสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกา
ปริศนาเบี้ยประกัน: ปรากฏการณ์นี้สร้างความผิดปกติในตลาด: แม้ว่ามูลค่าการส่งออกและนำเข้าของไทยจะขยายตัวสูงถึงร้อยละ 15.0 และ 16.8 ในไตรมาส 2/2568 แต่เบี้ยประกันภัยสินค้ากลับ หดตัวลง 4.3% สะท้อนว่ามูลค่าการเติบโตไม่ได้มาจากอุปสงค์การค้าจริงของไทยทั้งหมด
ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในท้องทะเล: นอกเหนือจากความตึงเครียดในทะเลแดง และช่องแคบฮอร์มุซ ธุรกิจยังเผชิญกับอุบัติเหตุร้ายแรงที่เกิดบ่อยขึ้น เช่น เหตุการณ์ไฟไหม้บนเรือสินค้าทุก ๆ 2-3 สัปดาห์ ส่วนใหญ่เกิดจาก ลิเธียมไอออนแบตเตอรี่ และที่น่ากังวลที่สุดคืออุบัติเหตุจาก เครื่องเรือนดับ (Blackout) ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง เรือ Dali ชนสะพานที่สหรัฐฯ ที่คาดการณ์ความเสียหายรวมกว่า 4-5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
นายจุฑาธวัชได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการ "ทำประกันภัยสินค้ากับบริษัทในประเทศ" เพราะจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทย ได้รับความคุ้มครองต่อเนื่องจนถึงโกดังปลายทาง (ลดช่องว่างความคุ้มครองที่กรมธรรม์ต่างประเทศมักจบแค่ท่าเรือ), มีอำนาจต่อรองเงื่อนไขเบี้ยประกัน, และที่สำคัญที่สุดคือ กระบวนการเคลมที่ชัดเจน สื่อสารง่ายด้วยภาษาไทย และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ คปภ.
ในด้านสุขภาพ ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวทุกคน นายปิยะพัฒน์ วนอุกฤษฏ์ ประธานคณะกรรมการประกันภัยอุบัติเหตุและสุขภาพ ได้นำเสนอข้อมูลที่น่าตกใจว่าประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ "สังคมสูงอายุสมบูรณ์" คาดว่า 21.31% ของประชากรในปี 2568
อัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์พุ่งแรง: สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ Medical Inflation ที่คาดว่าจะสูงถึง 14.3% ในปี 2568 ด้วยอัตรานี้ หากค่ารักษาผู้ป่วยในเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ 20,445 บาท มันจะเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว (95%) ภายในเวลาเพียง 5 ปี
เทคโนโลยีที่มาพร้อมค่าใช้จ่าย: แรงผลักดันหลักมาจากเทคโนโลยีการแพทย์และยาใหม่ เช่น Targeted Therapy (ยาพุ่งเป้า) สำหรับมะเร็ง ซึ่งเข็มหนึ่งมีราคาสูงถึงหลักแสน และการผ่าตัดแบบ Minimal Invasive ที่แม้จะรวดเร็วแต่มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น
ความเหลื่อมล้ำด้านราคา 13 เท่า: การศึกษาของสมาคมฯ เผยให้เห็นความเหลื่อมล้ำอย่างชัดเจนว่า โรงพยาบาลเอกชนกลุ่ม A อาจมีค่ารักษาพยาบาลแพงกว่าโรงพยาบาลรัฐถึงประมาณ 13 เท่า สำหรับการรักษาโรคเดียวกัน
แผนสู่ความยั่งยืน: ธุรกิจประกันภัยจำเป็นต้องปรับตัว โดยระยะสั้น (1–3 ปี) เน้นการออกผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนต้นทุนความเสี่ยงจริง การใช้ AI ในการพิจารณาเคลมและตรวจจับการฉ้อฉล และการจัดกลุ่มโรงพยาบาลตามต้นทุนเพื่อกำหนดมาตรฐานราคา
ส่วนในระยะยาว 5–10 ปี คือการ บูรณาการระบบประกันสุขภาพภาคสมัครใจ (Top up) เข้ากับสวัสดิการภาครัฐ (สปสช./ประกันสังคม) เพื่อให้เบี้ยประกันถูกลงและประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด ดังเช่นโมเดลที่ประสบความสำเร็จในประเทศบราซิล
ดร.สมพร สืบถวิลกุล ได้กล่าวสรุปว่า อุตสาหกรรมประกันภัยไทยอยู่ในจุดเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ การปรับตัวสู่ความยั่งยืนต้องครอบคลุมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลและการบริหารความเสี่ยงที่ทันสมัย
นวัตกรรมไม่เพียงแต่หมายถึงเทคโนโลยีอย่าง AI, Big Data, Blockchain, หรือ IoT แต่ยังหมายถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เข้าใจง่ายและเข้าถึงได้จริง (Insurance Literacy) เช่น Modular Insurance หรือ Bite-Sized Insurance ที่เบี้ยประกันต่ำ
การขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืนจะเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพได้ ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่าง ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อให้ระบบประกันภัยสามารถคงบทบาทสำคัญในการบริหารความเสี่ยง และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะยาว