เปิดสูตรความสำเร็จ ‘คนละครึ่ง’ ต้นแบบฟิลิปปินส์-อินโดนีเซีย

17 ก.ย. 2568 | 09:27 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ก.ย. 2568 | 09:42 น.

เปิดสูตรความสำเร็จ ‘คนละครึ่ง’ โครงการต้นแบบประเทศฟิลิปปินส์-อินโดนีเซีย ปลุกกำลังซื้อประชาชน รอลุ้นเวอร์ชันใหม่ รัฐบาล ‘อนุทิน’

คนละครึ่ง’ เป็นอีกหนึ่งโครงการเร่งด่วนของรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ซึ่งตอนนี้มีความชัดเจนว่าจะถูกนำมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจช่วงรัฐบาล 4 เดือนนี้แน่นอน และอาจจะมีการปรับรูปแบบ เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ที่อยู่ในระบบภาษี 11 ล้านคนด้วย โดยรัฐจะจ่ายให้ 60% และอีก 40% ผู้อยู่ในระบบภาษีจ่าย

เปิดที่มาโครงการคนละครึ่ง

โครงการคนละครึ่งริเริ่มในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งขณะนั้นได้ออกโครงการมาเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ และฟื้นฟูเศรษฐกิจ ช่วงสถานการณ์โควิด-19 เนื่องจากกำลังซื้อของประชาชนซบเซา ตามรายได้ที่ลดลงจากกรณีร้านค้า และกิจการหลายแห่งปิดให้บริการ

ขณะเดียวกัน ข้อจำกัดในการจัดทำมาตรการ คือ ต้องลดการสัมผัสเงินสด ซึ่งมีความเสี่ยงเรื่องการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 และงบประมาณภาครัฐในขณะนั้นก็มีกระสุนกันไว้ไม่มากนัก เพราะก่อนหน้านั้น ได้มีการจ่ายเงินเยียวยาประชาชนทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19

“ฝั่งนโยบายจึงได้เสนอออกโครงการคนละครึ่ง ให้รัฐช่วยจ่ายค่าครองชีพให้กับประชาชนครึ่งนึง และครึ่งที่เหลือประชาชนเป็นคนออกเอง ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจทั้งจากของภาครัฐและประชาชนด้วย”

เปิดสูตรความสำเร็จ ‘คนละครึ่ง’

ในรัฐบาลประยุทธ์ มีความพยายามออกโครงการลักษณะการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-payment) มาแล้วก่อนหน้านั้น ผ่านโครงการชิมช้อปใช้ โดยรัฐบาลจะเติมเงินให้ 1,000 บาท และหากใช้เกินวงเงินจะได้รับเงินคืน 15% แต่ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก และหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเท่าที่ควร

ฉะนั้น ในการจัดทำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงโควิด-19 นี้ กระทรวงการคลัง จึงได้เสนอให้จัดทำโครงการคนละครึ่ง นอกจากรัฐบาลใช้เงินงบประมาณดูแลประชาชนแล้ว ยังสนับสนุนให้ประชาชนควักเงินตัวเองร่วมจ่ายด้วย

"จึงออกมาเป็นรูปแบบที่รัฐบาลสนับสนุน 50% จ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป แต่ไม่เกิน 150 บาท/คน/วัน โดยกำหนดให้ใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง ที่พัฒนาระบบโดยธนาคารกรุงไทย"

ทั้งนี้ จากแนวคิดที่ต้องการลดค่าครองชีพของประชาชนในแต่ละวัน และต้องการช่วยเหลือร้านค้าขนาดเล็ก คนรากหญ้าจริงๆ รัฐบาลจึงได้กำหนดการให้สามารถใช้จ่ายได้เฉพาะร้านค้ารายเล็ก ไม่รวมซุปเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า ส่วนนี้ก็เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่ทำให้โครงการคนละครึ่งได้รับความนิยม 

คนละครึ่ง ต้นแบบ ‘ฟิลิปปินส์-อินโดนีเซีย’

แหล่งข่าวระดับสูงจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า โครงการคนละครึ่งประสบความสำเร็จจริง เพราะการดำเนินโครงการลักษณะเช่นนี้ ไม่มีประเทศใดทำมาก่อน และหลังจากที่ได้ออกโครงการคนละครึ่ง ซึ่งมีกระแสตอบรับเป็นอย่างดีจากประชาชน

กระทรวงการคลังก็ได้รับการติดต่อจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประเทศฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย โดยทั้ง 2 ประเทศได้สอบถามรายละเอียดการดำเนินโครงการ เพื่อใช้เป็นต้นแบบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ

ขณะที่ประเทศไทยเองก็เดินหน้าโครงการคนละครึ่ง มากว่า 5 เฟส ดังนี้

คนละครึ่ง เฟส 1

  • ใช้จ่ายวันที่ 23 ต.ค.-31 ธ.ค. 2563 เปิดลงทะเบียน 10 ล้านคน ได้รับวงเงินคนละ 3,000 บาท
  • มีผู้ใช้สิทธิ 9.98 ล้านคน ใช้งบประมาณ 29,600 ล้านบาท

คนละครึ่ง เฟส 2 

  • ใช้จ่ายวันที่ 1 ม.ค.-31 มี.ค. 2564 ขยายเวลาจากเฟส 1 เพิ่มวงเงินให้กลุ่มเดิม 500 บาท และลงทะเบียนเพิ่ม 5 ล้านสิทธิ โดยผู้ลงทะเบียนใหม่ได้รับวงเงินคนละ 3,500 บาท มี
  • ผู้ใช้สิทธิ 14.79 ล้านคน ใช้งบประมาณ 20,300 ล้านบาท

คนละครึ่ง เฟส 3

  • ใช้จ่ายวันที่ 1 ก.ค.-31 ธ.ค. 2564 เปิดลงทะเบียน 28 ล้านสิทธิ โดยได้รับวงเงินคนละ 4,500 บาท
  • มีผู้ใส้สิทธิ 26.34 ล้านคน ใช้งบประมาณ 76,700 ล้านบาท
  • เพิ่มวงเงินสนับสนุนเพิ่มเติม ช่วง พ.ย.-ธ.ค.2564 ได้รับวงเงินไม่เกินคนละ 1,500 บาท มีผู้ใช้สิทธิ 26.34 ล้านคน ใช้งบประมาณ 33,300 ล้านบาท

คนละครึ่ง เฟส 4

  • ใช้จ่ายวันที่ 1 ก.พ.-30 เม.ย. 2565 ให้ผู้มีสิทธิเดิม และลงทะเบียนใหม่ 1 ล้านสิทธิ (รวมเป้าหมาย 29 ล้านสิทธิ) วงเงิน 1,200 บาท
  • มีผู้ใช้สิทธิ 26.27 ล้านคน ใช้งบประมาณ 30,300 ล้านบาท

คนละครึ่ง เฟส 5

  • ใช้จ่ายวันที่ 1 ก.ย.-30 ต.ค. 2565 ให้ผู้มีสิทธิเดิม และลงทะเบียนใหม่อีก 3.09 ล้านสิทธิ 800 บาท
  • มีผู้ใช้สิทธิ 24.02 ล้านคน ใช้งบประมาณ18,200 ล้านบาท

สำหรับ ‘คนละครึ่งเวอร์ชันใหม่’ ในยุครัฐบาลอนุทิน จะหน้าตาเป็นอย่างไร ต้องรอติดตามกันต่อไป แต่แน่นอนว่า คนละครึ่ง เป็นโครงการที่ประชาชนเข้าใจง่าย ใช้ง่าย และเห็นผลทันที จึงมีโอกาสสร้างแรงกระตุ้นกำลังซื้อในระยะสั้นได้จริง

แต่เมื่อมองในภาพใหญ่ ก็อาจต้องเดินคู่กับมาตรการอื่น ๆ เช่น การดูแลค่าครองชีพ การลดหนี้ และการสร้างรายได้ใหม่ให้กับประชาชน เพื่อให้ผลลัพธ์ไม่ใช่เพียงแค่การ “ปลุกกำลังซื้อชั่วคราว” แต่เป็นการสร้าง ความมั่นใจและความต่อเนื่องทางเศรษฐกิจ ในระยะยาว ซึ่งถือเป็นความท้าทายภายใต้รัฐบาล 4 เดือน