ก่อนการโปรดเกล้าฯ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้เดินสายหารือกับภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อ 15 กันยายน 2568 ได้พบกับผู้บริหารของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เพื่อวางแนวทางเสริมศักยภาพเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ขณะที่วันที่ 18 กันยายนนี้ เตรียมนำคณะประชุมร่วมกับหอการค้าไทย ภาคเอกชนเตรียมเสนอแผนเร่งด่วนกระตุ้นเศรษฐกิจ แก้ปัญหากำลังซื้อ และอุปสรรคทางธุรกิจต่อรัฐบาลใหม่
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในวันที่ 18 กันยายนนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี จะนำคณะพบปะและประชุมหารือร่วมกับผู้บริหารของหอการค้าฯ และสภาหอฯ ณ หอการค้าไทย เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ รวมถึงรับทราบถึงปัญหาของหอการค้าทั่วประเทศ ที่จะมีการนำเสนอมาตรการเร่งด่วนต่อรัฐบาลชุดใหม่ที่ได้รวบรวมข้อมูลจากหอการค้าทั่วประเทศ และสมาคมการค้า 15 กลุ่มคลัสเตอร์ของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อให้รัฐบาลได้เร่งขับเคลื่อนต่อไป
ทั้งนี้แหล่งข่าวจากหอการค้าไทยระบุว่า ในการพบและประชุมร่วมกับผู้บริหารของหอการค้าฯ และสภาหอการค้าฯในครั้งนี้ ภาคเอกชนจากสมาคมการค้าต่าง ๆ ได้รวบรวมประเด็นข้อเสนอมาตรการเร่งด่วนต่อรัฐบาลชุดใหม่ โดยประเด็นที่เป็นปัญหาร่วมที่อยากให้รัฐบาลเร่งแก้ไข เช่น ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ดำเนินมาตรการเชิงรุก เพื่อลดความผันผวนและป้องกันค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากเกินไป โดยเวลานี้แข็งค่ามากที่สุดในรอบ 4 ปี แตะระดับ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่งผลกระทบมากต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออกไทย อยากให้ช่วยกำกับดูแลให้อ่อนค่าลงสู่ระดับที่แข่งขันได้ เช่น 34-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้เสนอให้พัก/รีไฟแนนซ์หนี้สำหรับธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งซื้อที่ลดลง การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่องให้เอสเอ็มอี การเร่งเจรจา FTA กับสหภาพยุโรป(อียู) และการเปิดตลาดใหม่ ๆ รวมถึงการลดค่าไฟฟ้าและพลังงาน เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิต เป็นต้น
ขณะเดียวกันยังมีข้อเสนอสำคัญของสมาคมการค้าต่าง ๆ ในการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อของประชาชน
โดยสมาคมผู้ค้าปลีกไทยเสนอโครงการ “คนละครึ่ง” วงเงินค่าใช้จ่าย 1,500 บาทต่อเดือนระยะเวลา ต.ค.-พ.ย.2568, โครงการ Easy E-Receipt เฟส 2 เสนอวงเงิน 1 แสนบาท (รวมทุกหมวดสินค้า) ระยะเวลา พ.ย.-ธ.ค. 2568,โครงการ “รัฐครึ่งเอกชนครึ่ง” สนับสนุนการจ้างงานใหม่โดยรัฐร่วมจ่ายเงินเดือน 50% เป็นระยะเวลา 6 เดือน (แต่เกิน 7,500 บาทต่อคน) เป็นต้น
ส่วน สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร / สมาคมอาคารชุดไทย/สมาคมอสังหา ริมทรัพย์ไทย /สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน/สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในพระบรมราชูปถัมถ์ เสนอมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อที่อยู่อาศัย โดยขอให้ปรับลดหย่อนมาตรการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยปรับลดอัตราภาษีลงไม่น้อยกว่า 50% โดยเฉพาะในปี 2569 หรือจนกว่าสถานการณ์เศรษฐกิจกิจจะเริ่มกลับมาฟื้นตัว
การลดต้นทุนผู้ประกอบการอสังหาฯและภาคก่อสร้าง เสนอให้ลดภาษีนำเข้าวัสดุก่อสร้างบางรายการที่ไม่มีการผลิตในประเทศ เช่น เหล็กพิเศษ กระจกคุณภาพสูง และอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน และขอให้โครงการลงทุนสาธารณะและโครงสร้างพื้นฐานได้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณก่อสร้างพื้นฐานของรัฐ เช่น ถนน รถไฟ ท่าเรือ ระบบสาธารณูปโภคภายใน 6-8 เดือน และจัดทำโครงการ PPP ขนาดเล็ก-กลาง ที่สามารถเริ่มประมูลและลงนามได้เร็ว เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน โครงการสมาร์ทซิตี้ เป็นต้น
สอดคล้องกับนายอิสระ บุญยัง ประธานสมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ฯ สภาหอการค้าฯไทย เรียกร้องให้รัฐบาลใหม่เดินหน้ามาตรการต่อเนื่องจากรัฐบาลเดิม โดยเฉพาะ การค้ำประกันสินเชื่อแบบ Mortgage Insurance ซึ่งเป็นรูปแบบองค์กรคนกลางค้ำประกัน หรือ รูปแบบบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกัน20% เพื่อสร้างความมั่นใจให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้ ลดภาระที่ตกอยู่กับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)มากเกินไป
พร้อมกันนี้ เสนอให้รัฐสนับสนุนการปล่อยกู้เต็ม 100% สำหรับกลุ่มอาชีพอิสระและผู้ที่พ้นจากสถานะติดเครดิตบูโร รวมถึงผู้ที่ย้ายงาน ซึ่งปัจจุบันใช้เวลาพิจารณาสินเชื่อนานเกินควร
“ในช่วงรัฐบาลรักษาการ 4 เดือนนี้ ภาคอสังหาฯ เสนอให้ ต่อยอดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ซื้อบ้านทุกราคา, สานต่อโครงการ “บ้านดีมีดาวน์”, และลดค่าธรรมเนียมโอน-จดจำนอง สำหรับบ้านราคาตั้งแต่ 7 ล้านบาทขึ้นไป”
นอกจากนี้ภาคก่อสร้างเสนอเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนให้ผู้รับเหมา และขอให้สถาบันการเงินผ่อนคลายเงื่อนไขสินเชื่อ ขณะที่ภาคคอนกรีต เสนอให้รัฐกำหนดให้นักลงทุนต่างชาติใช้วัสดุก่อสร้างภายในประเทศ และควบคุมปัญหานอมินี ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจท้องถิ่นและรายได้ภาครัฐ
นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย และประธานสมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว สุขภาพ MICE และ กีฬา เปิดเผยว่า สมาคมฯ ได้เตรียมนำเสนอ 4 มาตรการเร่งด่วนต่อรัฐบาลใหม่โดยเน้นมาตรการที่ดำเนินการได้ทันที และส่งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ ภาคธุรกิจและประชาชนได้แก่
1.เร่งสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยนักท่องเที่ยวจีน โดยเสนอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจท่องเที่ยว และกระทรวงดิจิทัลฯ จัดตั้งศูนย์แถลงข่าวสาร และนโยบายในการปราบปรามการหลอกลวงออนไลน์ การหลอกลวงนักท่องเที่ยว และอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยว โดยแถลงข่าวเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อย้ำภาพลักษณ์ความปลอดภัย
2.เชิญผู้นำระดับสูงของจีนเยือนไทย โดยขอให้กระทรวงการต่างประเทศเชิญผู้นำระดับสูงของจีนมางานสัมพันธ์ไทย-จีน เพื่อกระชับความสัมพันธ์และฟื้นความเชื่อมั่นผ่านงาน Thailand-China Expo
3.แก้ปัญหาพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เสนอให้ยกเลิกกฎอัยการศึก เพื่อเปิดทางให้บริษัทประกันท่องเที่ยวกลับมาคุ้มครองนักเดินทาง พร้อมขอซอฟต์โลนและมาตรการภาษีช่วยโรงแรมในพื้นที่ชายแดน
4.กระตุ้นท่องเที่ยวช่วงโลว์ซีซัน เสนอให้รัฐบาลเตรียมงบและแผนล่วงหน้า สำหรับโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” รอบใหม่ เริ่ม 1 พ.ค. 2569 โดยรัฐสนับสนุนค่าใช้จ่าย 40-50% ผ่านแอปฯ เป๋าตังและถุงเงิน ทั้งนี้ ข้อเสนอทั้งหมดมุ่งหวังให้รัฐบาลใหม่เดินหน้าโดยเร็ว เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นและกระตุ้นการท่องเที่ยวในทุกมิติ
นายณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เสนอ 3 มาตรการเร่งด่วนที่รัฐบาลสามารถดำเนินการได้ทันที เพื่อฟื้นเศรษฐกิจช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ได้แก่
1.กระตุ้นการใช้จ่าย เพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียน (Spending Boost) ผ่านโครงการ “คนละครึ่ง เวอร์ชันอัปเกรด” โดยปรับเพิ่มวงเงินใช้จ่ายต่อวันจาก 150 บาทเป็น 300 บาท กำหนดวงเงินรวมเดือนละ 1,500 บาท เป็นเวลา 2 เดือน (ต.ค.-พ.ย.) และ “Easy e-Receipt” เฟส 2 กระตุ้นการซื้อสินค้าและบริการในช่วงไฮซีซั่น (ต.ค.-ธ.ค.)วงเงินสูงสุด 1 แสนบาทต่อคน ครอบคลุมสินค้าทั่วไป OTOP และสินค้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คาดกระตุ้นเงินหมุนเวียนกว่าแสนล้านบาท
2.ดันไทยเป็นสวรรค์นักช้อป (Shopping Paradise) เสนอปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์จาก 20-30% เหลือ 10-15%, และทดลองมาตรการคืนภาษี VAT ทันที 7% สำหรับการซื้อขั้นต่ำ 3,000 บาท ณ ร้านสมาชิกในย่านช้อปปิ้งหลักของกรุงเทพฯและขยายเวลาวีซ่านักท่องเที่ยวรัสเซียจาก 30 วัน เป็น เป็น 45-60 วัน
3.มาตรการกระตุ้นการจ้างงานและเสริมกำลังแรงงาน เสนอเปิดจ้างงานรายชั่วโมง เปิดโอกาสนักศึกษา ผู้สูงอายุ และแรงงานนอกระบบ ช่วยผู้ประกอบการลดต้นทุนแรงงานและเพิ่มประสิทธิภาพบริการ
นายณัฐระบุว่า มาตรการเหล่านี้จะส่งผลเชิงบวกครอบคลุมทั้งผู้ผลิต แรงงาน SMEs และผู้บริโภค พร้อมย้ำสมาคมฯ พร้อมเป็นตัวกลางเชื่อมภาคเอกชนกับรัฐบาล
ดร.ชนินทร์ ชลิศราพงศ์ ประธานสมาคมการค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เรื่องเร่งด่วน หรือ Quick Win ที่ผู้ประกอบการอาหารและเครื่องดื่ม ต้องการให้รัฐบาลใหม่เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาเวลานี้ คือ เงินบาทที่แข็งค่ามากที่ระดับ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันการส่งออกสินค้าไทยมาก เฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าอาหารแปรรูป หรืออาหารสำเร็จรูป ที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก รวมถึงพืชผัก ผลไม้ต่าง ๆ
“เรื่องเงินบาทแข็งค่ามากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้เวลานี้ภาคการส่งออกของไทยเหนื่อยมาก เฉพาะอย่างยิ่งในสินค้าอาหาร และผักผลไม้พวกนี้ที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก และมีมาร์จิ้นหรือกำไรไม่มาก ซึ่งแม้ว่าเราจะปิดดีลการเจรจาภาษีกับสหรัฐได้ที่ 19% ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านทำให้ไม่เสียเปรียบในเรื่องนี้มาก แต่พอมาเจอเงินบาทแข็งค่ามากกว่าชาวบ้านเราสู้ไม่ไหว ดังนั้นขอให้รัฐบาล Quick Win โดยแก้ปัญหานี้เป็นอันดับแรก และะหากรัฐบาลจะมีโครงการครนละครึ่ง ช้อปดีมีคืน เที่ยวไทยด้วยกัน หรือมีโครงการอื่น ๆ เราก็เห็นด้วย และขอให้เร่งดำเนินการ”
ด้าน นายแพทย์ไพบูลย์ เอกแสงศรี นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ได้แสดงความกังวลต่อนโยบายด้านสาธารณสุขของรัฐบาลใหม่ที่อาจเน้นผลลัพธ์เร็ว แต่ไม่สอดคล้องกับต้นทุนจริงของโรงพยาบาลเอกชน เช่น การควบคุมราคาค่ารักษาและค่ายา
ทั้งนี้เสนอให้มีตัวแทนภาคเอกชนร่วมในคณะกรรมการด้านนโยบายสุขภาพ เพื่อสะท้อนความแตกต่างของโรงพยาบาลแต่ละประเภท และเรียกร้องให้รัฐเข้าใจต้นทุนและโครงสร้างของโรงพยาบาลเอกชนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในระบบประกันสังคมที่แม้ปรับดีขึ้นแต่ยังเผชิญข้อจำกัดงบประมาณ