เอกชนชี้ ‘คนละครึ่ง’ ดันกำลังซื้อ-เพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบปลายปี

17 ก.ย. 2568 | 06:51 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ก.ย. 2568 | 06:51 น.

ส.อ.ท. เผยดัชนีเชื่อมั่นอุตสาหกรรมร่วงต่อเนื่อง เหตุความไม่แน่นอนการเมือง ภาษีสหรัฐฯ สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หวัง ‘คนละครึ่ง’ เพิ่มกำลังซื้อปลายปี

KEY

POINTS

  • ภาคเอกชนมองว่าโครงการคนละครึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญที่จะช่วยประคับประคองสถานการณ์เศรษฐกิจ
  • มาตรการดังกล่าวคาดว่าจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน และช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ
  • โครงการคนละครึ่งจะส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี

นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนสิงหาคม 68 ว่า อยู่ที่ระดับ 86.4 โดยปรับตัวลดลงจากระดับ 86.6 ในเดือนกรกฎาคม 2568 

ทั้งนี้ การปรับตัวลดลงดังกล่าวเป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่ ความไม่แน่นอนทางการเมือง ภายหลังจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้สถานะนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง รวมถึงการเบิกจ่ายงบลงทุนที่ยังต่ำกว่าเป้าหมาย โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากช่วง 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567 – สิงหาคม 2568) ซึ่งมีการเบิกจ่ายล่าช้า 

นอกจากนี้ ความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับอัตราภาษีของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ Regional Value Content (RVC) หรือสินค้าที่เปิดตลาดให้สหรัฐฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและนำเข้า อีกทั้งสถานการณ์การปิดด่านชายแดนไทย–กัมพูชา ยังคงส่งผลให้การค้าชายแดนได้รับผลกระทบ 

และคาดว่าจะก่อให้เกิดการสูญเสียมูลค่าทางการค้าในเดือนสิงหาคมกว่า 14,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกัน ยังพบว่าสถานการณ์น้ำท่วมซ้ำซากจากพายุโซนร้อนคาจิกิได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการค้าและการเกษตรในพื้นที่ภาคเหนือ รวมถึงการที่แรงงานกัมพูชาทยอยเดินทางกลับประเทศ ซึ่งนำไปสู่ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในระยะสั้นในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น

เอกชนชี้ ‘คนละครึ่ง’ ดันกำลังซื้อ-เพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบปลายปี

อย่างไรก็ตาม ในเดือนสิงหาคม ยังมีปัจจัยบวกหลายประการ ได้แก่ การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ต่อปี จาก 1.75% เหลือ 1.50% ต่อปี ซึ่งช่วยบรรเทาภาระทางการเงินแก่ผู้ประกอบการ นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้อนุมัติงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 1.85 หมื่นล้านบาท โดยจัดสรร 1 หมื่นล้านบาทเข้าสู่กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ขณะเดียวกัน ยอดขายรถยนต์ในประเทศมีแนวโน้มขยายตัว โดยได้รับแรงหนุนจากการจัดงาน BIG Motor Sale 2025 โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า

จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,350 ราย ครอบคลุม 47 กลุ่มอุตสาหกรรมของส.อ.ท. ในเดือนสิงหาคม 2568 พบว่าปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ เศรษฐกิจภายในประเทศ 72.6% นโยบายภาครัฐ 60.4% อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) 45.7% ส่วนปัจจัยที่มีความกังวลลดลง ได้แก่ เศรษฐกิจโลก 61.0% การเข้าถึงสินเชื่อ 35.1% ราคาพลังงาน 32.4% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 26.1% 

ขณะที่ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงเช่นกัน อยู่ที่ระดับ 88.9 ลดลงจาก 89.2 ในเดือนกรกฎาคม 2568 เนื่องจากความกังวลต่อความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ อาจกระทบต่อการดำเนินนโยบายสำคัญ อาทิ การเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ การแก้ปัญหาชายแดน และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และอุปสงค์จากประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มลดลง หลังการบังคับใช้มาตรการ Reciprocal Tariff ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตและส่งออกของไทย ประกอบกับความเสี่ยงการถูกเก็บภาษี 40% จากความไม่ชัดเจนของเงื่อนไขสินค้าสวมสิทธิ์ (Transshipment) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนที่คาดว่าจะช่วยประคับประคองสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ได้แก่ โครงการคนละครึ่ง คาดว่าจะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ กระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน และเพิ่มการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในช่วง High season (ช่วงพฤศจิกายน- ธันวาคม 2568) คาดว่าจะส่งผลดีต่อการใช้จ่าย และการบริโภคสินค้า

สำหรับข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ประกอบด้วย  

  • เสนอให้ภาครัฐเร่งติดตามข้อสรุปเกี่ยวกับเงื่อนไขภาษี Reciprocal Tariff โดยเฉพาะประเด็น Regional Value Content (RVC) รวมถึงรายการสินค้าที่ไทยจะเปิดตลาดให้สหรัฐฯ เพื่อให้ผู้ประกอบการเตรียมความพร้อมในการรับมือผลกระทบ
  • ขอให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณด้านรายจ่ายลงทุนในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เพื่อให้เม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งการเตรียมความพร้อมดำเนินโครงการภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569
  • เสนอให้ภาครัฐเร่งรัดการออกมาตรการช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา อย่างเป็นรูปธรรม เช่น สามารถนำรายจ่ายค่าขนส่งและโลจิสติกส์ส่วนเพิ่มมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ 2 เท่า เป็นต้น
  • ขอให้ภาครัฐปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ เพื่อสนับสนุนการนำวัสดุที่เหลือใช้และผลิตภัณฑ์พลอยได้ไปใช้ประโยชน์ในการทำผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)