นายกรมิษฐ์ ตวิษาวิวิศน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอทมอส (แบงคอก) จำกัด ผู้บริหารแฟรนไชส์ร้านรองเท้าสนีกเกอร์ “Atmos” เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ร้าน Atmos เป็นแฟรนไชส์ร้านรองเท้าสนีกเกอร์ ที่มีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น รวบรวมสินค้ารุ่น Exclusive จากหลายแบรนด์ดังระดับโลก เช่น Nike, adidas, ASICS, PUMA มาไว้ที่เดียวกัน
Atmos เข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทยเป็นปีที่ 3 โดยเน้นโลเคชั่นกลางเมืองและแหล่งท่องเที่ยวของกรุงเทพฯและมีอัตราการเติบโตเป็นที่น่าพอใจ ก่อนที่จะเจอกับการระบาดของโควิด 19 ระลอกที่ 1 ส่งผลกระทบต่อธุรกิจโดยตรงทำให้รายได้หายไปราว 40% จากมาตรการล็อกดาวน์และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง
ในขณะเดียวกันยังต้องแบกรับภาระต้นทุนโดยเฉพาะค่าเช่า ซึ่งเป็นรายจ่ายที่สูง ดังนั้นแอทมอสได้ปรับตัวโดยหันรุกตลาดออนไลน์มากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับ Business model ของแบรนด์ดังในต่างประเทศ
“แบรนด์ต่างประเทศ พยายามให้เราทำตลาดออนไลน์มากขึ้น ซึ่งในเมืองไทยมันยังไม่ค่อยนิยม เพราะคนไทยยังชอบที่จะพูดคุยสื่อสารกับพนักงานขายและทดลองสินค้าก่อนซื้อ แต่เรามองว่าตัวออนไลน์ในอนาคตเป็นสิ่งที่จำเป็น”
สำหรับการรุกตลาดออนไลน์ของแอทมอส มีทิศทางที่ดีเห็นได้จากการจัดแคมเปญกระตุ้นตลาด Live sale ที่สามารถทำรายได้ 2-3 ล้านบาทต่อการไลฟ์ขายเพียงครั้งเดียว โดยสินค้าที่ยังขายดีต่อเนื่องคือ สินค้า limited edition ซึ่งมีฐานลูกค้าหนาแน่น เพราะบางส่วนซื้อเพื่อเก็งกำไรและขายหมดในเวลาไม่ถึง 10 นาที
อย่างไรก็ตามการระบาดของโควิดที่ต่อเนื่องมาจนถึงระลอกที่ 3 ทำให้กลยุทธิ์ Live sale ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป โดยในการ Live sale หนึ่งครั้งสามารถทำรายได้เพียง 2-3 แสนบาทเท่านั้น นับว่ารายได้หายไปจากปีที่แล้วถึง 90%
“สิ่งที่เราทำได้คือพยายามโปรโมทสินค้าให้มากขึ้นโดยใช้ออนไลน์โปรโมชั่นเพื่อจูงใจลูกค้าให้ซื้อเก็บไว้ก่อน แล้วนำออกมาใช้เมื่อสถานการณ์การระบาดดีขึ้น ตอนนี้ช่องทางการขายเรามีทั้งเว็บไซต์ของเราเอง,LINE@, facebook และ IG ยอดขายยังมาจากออนไลน์ 80% ออฟไลน์ 20%”
ทำให้บริษัทต้องหันกลับมาทบทวน Business model ของตัวเองอีกครั้ง ทั้งการเลื่อนแผนขยายสาขาอีก 2 สาขาออกไปก่อน และมูฟเม้นต์ที่สำคัญในการพลิกกลับขึ้นมาบวกตามเป้าหมายการเติบโต 15% หรือรายได้ 200 ล้านบาทในปีนี้ หลังจากในปีที่ผ่านมาสามารถปิดรายได้ไปเพียง 170 ล้านบาทเท่านั้น โดยมุ่งขยายฐานลูกค้าในกลุ่มเด็กวัยรุ่นและการรุกตลาดต่างประเทศ
“เรากลับมาคิดว่า จะขยายสาขาไปในที่ที่มีกลุ่มลูกค้าเด็กมากขึ้น และกำลังศึกษาว่าเราควรจะเปิดร้านในสยาม 1 ร้าน เพราะสยามเป็นที่ของเด็กที่กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นช่วงที่เขากำลังค้นหาตัวเองในการแต่งตัว ซึ่งเป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งที่เราควรจะไปโปรโมทแบรนด์ให้เขารู้จัก โดยบริษัทต้องการขยายกลุ่มลูกค้าไปยังผู้ที่มีอายุ 15-35 ปี จากเดิมที่มุ่งจับกลุ่มอายุ 18-35 ปีแทน”
ขณะเดียวกันก็ศึกษาตลาดต่างประเทศ เพราะเรามี License Atmos ในการตั้งช็อปในเมืองไทยเท่านั้น แต่บนออนไลน์สามารถขายบางแบรนด์ไปยังต่างประเทศได้ ดังนั้นจึงพยายามหาแบรนด์ใหม่ๆ ซึ่งตอนนี้มองไว้ 5-10 แบรนด์ รวมทั้งการร่วมมือกับ Atmos ในประเทศต่างๆ เพื่อบริการจัดการสต๊อกและจัดส่งสินค้า เพราะการที่จะมีลูกค้าเป็นคนไทยอย่างเดียวจะทำให้บริษัทไม่โต”
หน้า 21-22 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,683 วันที่ 30 พฤษภาคม - 2 มิถุนายน พ.ศ. 2564
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :