นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ข้าวไทย ครั้งที่ 2/2563 ร่วมกับภาครัฐและเอกชน โรงสี ผู้ส่งออก โดยที่ประชุมได้มีข้อสรุปเรื่องยุทธศาสตร์ข้าวไทย ซึ่งเป็นภาพใหญ่ที่สุดต้องการทำให้ไทยเป็นผู้นำในด้านการผลิตการตลาดข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวคุณภาพของโลก โดยใช้ยุทธศาสตร์ "ตลาดนำการผลิต" และมีพันธกิจสำคัญทั้งหมด 4 ด้าน 1.ด้านตลาดต่างประเทศ 2.ด้านตลาดในประเทศ 3.ด้านการผลิต 4.ด้านการแปรรูปและนวัตกรรม โดยได้แบ่งข้าวออกเป็น 7 ชนิด ประกอบด้วย 1. ข้าวหอมมะลิ 2.ข้าวหอมไทย 3.ข้าวพันธุ์พื้นนุ่ม 4.ข้าวพันธุ์พื้นแข็ง 5.ข้าวนึ่ง 6.ข้าวเหนียว และ 7.ข้าวที่มีตลาดเฉพาะข้าวสี แบ่งออกเป็น 3 ตลาด 1.ตลาดพรีเมียม 2.ตลาดทั่วไป 3.ตลาดเฉพาะ
สำหรับ 4 พันธกิจที่จะต้องดำเนินการคือ 1.ตลาดต่างประเทศ จะมุ่งเน้นในเรื่องการสนองต่อความหลากหลายของตลาดข้าวซึ่งมีความต้องการข้าวที่หลากหลายชนิดที่มีคุณภาพสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวพื้นนุ่มที่เป็นความต้องการของตลาดในปัจจุบันรวมทั้งการลดต้นทุนทางการตลาด 2.ตลาดในประเทศ จะดำเนินการในการสร้างสมดุลระหว่างความต้องการของการบริโภคในประเทศและการผลิตในประเทศ
3.ด้านการผลิตที่ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ต้องใช้สนองตอบต่อความต้องการของตลาดจะดำเนินการ เช่น ประการที่หนึ่ง ลดต้นทุนการผลิตให้เหลือไม่เกินไร่ละ 3,000 บาท จากปัจจุบันเฉลี่ยที่ไร่ละ 6,000 บาท ประการที่สองจะดำเนินการในเรื่องของการเพิ่มข้าวพันธุ์ใหม่ให้ได้ไม่น้อยกว่า 12 พันธุ์ในช่วงระยะเวลา 5 ปีโดยมุ่งเน้นเป้าหมายที่จะได้พันธุ์ข้าวที่มีลักษณะ สั้น เตี้ย ดก ดี โดย 12 พันธุ์ จะประกอบด้วยข้าวนุ่ม 4 พันธุ์ ข้าวพื้นแข็ง 4 พันธุ์ ข้าวหอมไทย 2 พันธุ์ และข้าวที่มีโภชนาการสูง 2 พันธุ์ และจะดำเนินการประกวดข้าวพันธุ์ใหม่อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อส่งเสริมให้มีการวิจัยพัฒนาพันธุ์เพื่อนำไปสู่การแข่งขันในตลาดข้าวโลกได้ต่อไป สำหรับปี 2564 จะเป็นกรณีพิเศษจะมีการจัดประกวด 2 ครั้งคือในต้นปี และปลายปี
4.เรื่องของการแปรรูปและนวัตกรรม จะมุ่งเน้นการวิจัยและการคิดค้นนวัตกรรมจากข้าว เพื่อสนองความต้องการของตลาด และประชาสัมพันธ์ให้ทราบว่าผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นได้แต่ละชนิดทำจากข้าวชนิดใดบ้างและมีผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมมีผลิตภัณฑ์ชนิดใดอย่างไร และเน้นในเรื่องของการอำนวยความสะดวกให้กับผู้วิจัยและผู้ประกอบการที่คิดค้นนวัตกรรมจากข้าว การปรับปรุงกฎระเบียบ ลดขั้นตอน และการอนุมัติอนุญาตและแหล่งทุนเป็นต้น สุดท้ายจะดำเนินการในการช่วยหาช่องทางการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศให้กับสินค้าแปรรูปและสินค้านวัตกรรมที่ทำจากข้าว ทั้งนี้กระทรวงจะนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมของคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.)ต่อไป เพื่อเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ
ด้านนายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า เห็นด้วยกับยุทธศาสตร์ข้าวถือเป็นครั้งแรกที่ภาครัฐให้ความสนใจที่จะผลักดันให้มียุทธศาสตร์ข้าวอย่างจริงจังเกิดเป็นรูปธรรมภายใน 5 ปี โดยเอกชนอยากเห็นคือการลดต้นทุนการผลิตข้าวขาวของชาวนาในพื้นที่ชลประทานเฉลี่ยทั้งประเทศอยู่ที่ 3 พันบาท/ไร่ จากปัจจุบัน 4.5 พันบาท/ไร่ ซึ่งการลดต้นทุนต้องมาจาก 1.การพัฒนาพันธุ์ข้าว 2.การลดต้นทุนหลังการเก็บเกี่ยว 3.การลงทุนระบบชลประทาน 4.การปรับพื้นที่ทางการเกษตรให้เหมาะสมกับการทำนา 5.การลดต้นทุนโลจิสติกส์
ทั้งนี้การจะทำให้ยุทธศาสตร์เกิดเป็นรูปธรรมจะต้องร่วมมือกับหลายหน่วยงาน เช่น การลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ต้องประสานกับกระทรวงคมนาคม เช่น การปรับสะพานนวลฉวีให้สามารถเปิด-ปิดสะพานเหมือนกับสะพานพุทธเพื่อให้เรือที่ขนส่งข้าวเพื่อการส่งออกผ่านไปได้ ส่วนการวิจัยพัฒนาพันธุ์ข้าวกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมการข้าวลงทุนด้านงานวิจัยอย่างจริงจัง เช่นปัจจุบันเวียดนามได้งบวิจัยเฉพาะข้าวอย่างเดียวถึง 3 พันล้านบาท ขณะที่ไทยได้เพียง 200 ล้านบาท
สำหรับสถานการณ์ส่งออกข้าว 7 เดือนของปีนี้ส่งออกได้ 3.3 ล้านตันเท่านั้น ทำให้ไม่มั่นใจว่าทั้งปีจะถึง 6.5 ล้านตันหรือไม่ แต่ต้องดูว่าผลผลิตข้าวนาปีในช่วง 3 เดือนสุดท้ายจะมีผลผลิตข้าวออกมามากน้อยแค่ไหน ส่วนราคาข้าวขาว 5% FOB ราคา 500 กว่าดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เวียดนาม 470-478 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน อินเดีย 370 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ปากีสถาน 380-390ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้คำสั่งซื้อข้าวของไทยเงียบเหงาเพราะราคาข้าวจากประเทศคู่แข่งของไทยต่ำกว่าข้าวจากไทยมาก