ตอบโจทย์ชีวิตยุคดิจิทัล ดิสรัปชัน

27 ธ.ค. 2562 | 07:54 น.
อัปเดตล่าสุด :08 เม.ย. 2564 | 18:14 น.

 

ปี 2563 เป็นอีกปีที่แวดวงธุรกิจต้องปรับตัวเพื่ออยู่รอด ท่ามกลางกระแสดิจิทัล ดิสรัปต์ และเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนค่อนข้างเร็วและตลอดเวลาไปกับสื่อโซเชียล สำหรับธุรกิจที่มีทิศทางเติบโตอย่างน่าจับตามีดังนี้

 

ทุนยักษ์ชิงเค้กโลจิสติกส์ เอ็กซ์เพรส

ยุคเทคโนโลยีและอินเตอร์เน็ตเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนไทย ส่งผลให้ภาคธุรกิจต้องมีการปรับตัวเปลี่ยนแผนกลยุทธ์กันอย่างดุเดือด มีการเกิดขึ้นของธุรกิจใหม่ที่เข้ามาดิสรัปต์ธุรกิจแบบดั้งเดิม ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคงเป็นเรื่องของธุรกิจซื้อขายสินค้าออนไลน์หรือ อี-คอมเมิร์ซ ที่มีการเติบโตต่อเนื่องปีละ 20-30% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 3 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน และส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อธุรกิจในห่วงโซ่อย่าง ธุรกิจขนส่งหรือโลจิสติกส์ มีการเติบโตขึ้นมาอย่างโดดเด่นในปี 2562

ตอบโจทย์ชีวิตยุคดิจิทัล ดิสรัปชัน

ย้อนไปช่วงปลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจขนส่งพัสดุในไทย มีผู้เล่นรายใหญ่ที่ครองตลาดอยู่เพียงไม่ถึง 10 ราย อาทิ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท), บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรสฯ, ลาล่ามูฟ, ไลน์แมนที่หันมาจับธุรกิจบริการส่งด่วน ขณะที่ไปรษณีย์ไทยยังครองตำแหน่งผู้นำในตลาดขนส่ง e-Commerce ด้วยส่วนแบ่งตลาดกว่า 55% จากเครือข่ายให้บริการกว่า 5,000 แห่งที่กระจายทั่วประเทศ อันดับ 2 ได้แก่เคอรี่ เอ็กซ์เพรส ที่ครองส่วนแบ่ง ตลาดการจัดส่งพัสดุมากกว่า 40% มีจุดให้บริการ 5,500 สาขา ศูนย์กระจายสินค้าทั่วประเทศกว่า 600 แห่ง

ในช่วงต้นปี 2562 บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด สตาร์ตอัพน้องใหม่ นำเงินทุนกว่า 2,500 ล้านบาท จากกลุ่มทุนอาลีบาบาเข้ามาทำตลาดเชิงรุกเปิดตัวบริการ “แฟลช เอ็กซ์เพรส” จัดแคมเปญชิงส่วนแบ่งตลาดด้วยค่าบริการส่งเริ่มต้น 19 บาท และบริการรับสินค้าจากผู้ส่งถึงบ้านแบบ (Door to Door) โดยตั้งเป้าหมายเป็นอันดับ 2 รองจากไปรษณีย์ไทย

ผ่านไปยังไม่ถึงไตรมาสแรกของปี 2562 “เบสท์ เอ็กซ์เพรส” ที่บริหารจัดการโดย บริษัท เบสท์ โลจิสติกส์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ภายใต้การสนับสนุนของกลุ่มทุนอาลีบาบาและไช่เหนี่ยว เข้ามาลงทุนด้วยงบกว่า 5,000 ล้านบาท โดยมีแผนระยะยาวขยายศูนย์บริการกว่า 500 แห่ง และหน้าร้านรับ-ส่งสินค้ากว่า 1,000 แห่ง รวมถึงการขยายรถขนส่งให้ได้ 10,000 คัน และตั้งเป้าในการส่งสินค้าให้ได้ 150,000 ชิ้นต่อวัน

นอกจากนี้ยังมี เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส (J&T Express) บริษัททุนข้ามชาติจากจีนเข้ามาเปิดตัว โดยชูจุดแข็ง เปิดบริการ 365 วัน ไม่เว้นวันหยุด ตั้งเป้าที่จะขยายฐานธุรกิจไปยังประเทศต่างๆ ให้ครอบคลุมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

จะเห็นได้ว่ากลุ่มทุนยักษ์ใหญ่อย่าง “อาลีบาบา” ได้รุกคืบเข้ามาทำตลาดแข่งขันในธุรกิจโลจิสติกส์ของไทย รวมถึงเอกชนรายใหญ่อีกหลายเจ้าในตลาด หลังจากนี้ ปณท อาจต้องมีการปรับกลยุทธ์เพื่อความอยู่รอด แต่สุดท้ายการแข่งขันที่รุนแรงของภาคธุรกิจทั้งอี-คอมเมิร์ซและ
โลจิสติกส์ก็จะส่งผลกระทบเชิงบวกที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้บริโภค

แอพสั่งอาหารฮิต ตอบจริตคนยุคใหม่

ธุรกิจที่มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดอีกหนึ่งธุรกิจ คือ บริการสั่งอาหารผ่านแอพ ด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบาย และการแข่งขันของผู้ให้บริการ ที่มีทั้งส่วนลด และเพิ่มร้านอาหารที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้ธุรกิจดังกล่าวเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วปีละ 200-300% 

ผู้นำตลาดบริการส่งอาหารผ่านแอพ คือ แกร็บฟู้ด ครองอันดับ 1 ในฐานะแบรนด์โปรดของลูกค้าในการสั่งอาหารออนไลน์จากการวิจัยทางการตลาดโดยกันตาร์ ผู้นำด้านการวิจัยพฤติกรรมของผู้บริโภคเชิงลึก โดย 54%ของผู้บริโภคลงคะแนนให้แกร็บฟู้ดเป็นแพลตฟอร์มการสั่งอาหารออนไลน์ที่ใช้บ่อยที่สุดในไตรมาส 3 ของปี 2562 ขณะที่แบรนด์ของคู่แข่งอยู่ที่ 21%

ขณะนี้ แกร็บฟู้ด เปิดให้บริการใน 20 เมือง 14 จังหวัด ซึ่งภายในปี 2563 จะขยายบริการให้ครอบคลุม 30 จังหวัด นอกจากนี้ยังมาจากกลยุทธ์การผูกพันธมิตรตั้งแต่แบรนด์ชั้นนำ ไปจนถึงสตรีคฟู้ด รวมถึงร้านดังในแต่ละพื้นที่ ขณะเดียวกันมีโมเดลธุรกิจที่เอื้อให้ผู้ประกอบการเติบโต มีจุดแข็งทั้งจำนวนร้านอาหารมากสุด จำนวนดีลมากสุด และเวลาการจัดส่งที่รวดเร็ว โดยเฉลี่ยการส่งอาหารแต่ละครั้งใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที โดยมีคนขับรถส่งอาหารมีอยู่หลัก 1 แสนราย

คู่แข่งแกร็บ คือไลน์แมน ที่บริการส่งอาหาร LINE MAN Food มียอดการเติบโต 250% ปัจจุบัน LINE MAN มีกว่า 40,000 ร้านค้า มากกว่า 80% เป็นร้านสตรีตฟู้ด และจับมือกับ “วงใน” ซึ่งเป็นรีวิว ออนไลน์รายใหญ่ใน ไทย ที่โดดเด่นด้านอาหารการกิน ขณะเดียวกันเป็นพันธมิตรกับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ เช่น ไปรษณีย์ไทย, Alpha Fast, Lalamove, Ninjavan

ล่าสุดไลน์แมน เริ่มเปิดบริการสั่งอาหารจากหลากหลายร้านอาหารภายในศูนย์การค้าในออร์เดอร์เดียว และขยายบริการไปพัทยา โดยร่วมกับร้านอาหารในพัทยา 4,000 ร้าน

ตอบโจทย์ชีวิตยุคดิจิทัล ดิสรัปชัน

คู่แข่งอีกรายเป็น Get ผู้ให้บริการน้องใหม่ ที่มียอดดาวน์โหลดแอพแล้วกว่า 1.7 ล้านครั้ง และให้บริการไปแล้วรวมกว่า 10 ล้านทริป ตั้งแต่เปิดให้บริการ มีร้านอาหาร 20,000 ร้าน และมีคนขับ 30,000 คน ล่าสุดในปี 2563 เตรียมสยายปีกธุรกิจ เปิดบริการ 1. GET Runner บริการเดินเท้าส่งอาหารในระยะใกล้ ที่สามารถลดระยะเวลาในการส่งเหลือเพียง 19 นาที และ 2. GET Pay บริการ Wallet สำหรับสั่งอาหารเพราะกระแสสังคมไร้เงินสดที่เข้ามา

ส่วนอีกรายคือฟู้ดแพนด้า ผู้บุกเบิกบริการส่งอาหารผ่านแอพ ที่กลับมารุกตลาดอีกครั้ง

ตอบโจทย์ชีวิตยุคดิจิทัล ดิสรัปชัน

สินค้า-บริการผู้สูงวัยโตแรง

จากตัวเลขสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่คาดการณ์ว่าประชากรผู้สูงอายุของไทยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จะเพิ่มขึ้นเป็น 13 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 20% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศในปี 2563 ส่งผลให้ไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยโดยสมบูรณ์

แน่นอนว่าจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างด้านสังคม หลายธุรกิจเริ่มหันมาสนใจและเข้ามาลงทุนพบว่า กลุ่มธุรกิจผู้สูงวัยที่กำลังได้รับความนิยมได้แก่ บ้านพักผู้สูงวัย สถานบริบาลช่วยเหลือในการดำรงชีวิต สถานดูแลระยะยาวในโรงพยาบาล และสถานดูแลระยะสุดท้าย ปัจจุบันมีผู้ประกอบธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทยแล้วกว่า 800 ราย แต่ในความเป็นจริงมีมากกว่านี้ เนื่องจากไม่มีข้อกฎหมายบังคับให้ธุรกิจนี้ต้องขึ้นทะเบียน แบ่งเป็นนิติบุคคล 273 ราย หรือคิดเป็น 34.125% และบุคคลธรรมดา 527 ราย หรือ 65.875%

ไม่เพียงแต่กลุ่มเฮลธ์แคร์เท่านั้นมีการขยายตัวเพื่อรองรับ หากแต่ทว่าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอุปโภค-บริโภคที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงวัย อาทิ ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ สินค้าสุขภาพ เครื่องดื่มสุขภาพ อาหารเสริม หรือแม้แต่เครื่องแต่งกาย ก็มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดด้วย ทั้งนี้คาดการณ์ว่าธุรกิจบริการผู้สูงอายุจะเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 10% ในปีนี้ จากปี 2561 ที่มีมูลค่ากว่า 1.07 แสนล้านบาท และยังคงเติบโตต่อเนื่องในปี 2563 ซึ่งมีความท้าทายว่าผู้ประกอบการจะนำเสนอสินค้าและบริการเพื่อตอบโจทย์ตลาดผู้สูงวัย ที่กำลังจะกลายเป็นขุมทรัพย์ในอนาคตอย่างไร

ตอบโจทย์ชีวิตยุคดิจิทัล ดิสรัปชัน

“อี-สปอร์ต”ดันธุรกิจเกมทะลุ 2.5 หมื่นล้าน

อี-สปอร์ต (E-Sport) หรือ “กีฬาอิเล็กทรอนิกส์” เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา หลังโหมโปรโมต และเกิดการแข่งขันในประเทศ ไปจนถึงระดับโลก พร้อมการเปิดเผยส่วนแบ่งรายได้ของนักกีฬา(ที่ส่วนใหญ่ ยังเป็นวัยรุ่น) ยิ่งส่งผลให้วงจรของธุรกิจนี้ได้รับความสนใจมากขึ้น

อี-สปอร์ต ถือเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมเกมไทยที่มีมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาทต่อปี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาเกมออนไลน์ เล่นผ่านสมาร์ทโฟนที่มีความเชื่อมโยงเป็นทีม เป็นสังคม ในรูปแบบเกมแอกชัน เกมวางแผนแบบเรียลไทม์ และกีฬา(ฟุตบอล และแข่งรถ เป็นต้น)

แม้ “อี-สปอร์ต” จะยังไม่ถูกบรรจุในการแข่งขันโอลิมปิกอย่างเป็นทางการ แต่ในระดับโลกมีอีเวนต์ของเกมนั้นๆ จัดเป็นประจำ เช่น เกมยอดฮิต Dota 2 ชิงแชมป์โลกรายการ The International 2019 ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน มีเงินรางวัลรวมเกือบ 1,000 ล้านบาท (ทีมแชมป์รับกว่า 400 ล้านบาท)

ล่าสุดในซีเกมส์ 2019 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ “อี-สปอร์ต” ถูกบรรจุไว้ในการแข่งขัน (ต่อเนื่องจากเอเชียนเกมส์ 2018 ที่อินโดนีเซีย) มี 6 เหรียญทองให้ชิงใน 6 เกมคือ DOTA 2,TEKKEN 7, StarCraft II,Arena Of Valor (AoV) ,Mobile Legends: Bang Bang และ Hearthstone โดยนักกีฬาไทยคว้ามาได้ 2 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน

นายกฤตย์ พัฒนเตชะ หัวหน้าผู้บริหาร บริษัท การีนา ออนไลน์ (ประเทศไทย) จำกัดผู้ให้บริการเกมออนไลน์รายใหญ่ เปิดเผยว่า ตลาดเกมออนไลน์ในไทยเติบโตสูงกว่าตลาดโลก หรืออยู่ที่ 12% มูลค่าประมาณ 20,677 ล้านบาท เป็นอันดับที่ 19 ของโลก ด้วยจำนวนผู้เล่น 18.3 ล้านคน

ปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดเกมออนไลน์ไทยเติบโตสูง เนื่องจากสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆที่ออกมามีราคาถูกลง และรองรับการเล่นเกมได้เป็นอย่างดี ทั้งยังพัฒนาขึ้นมาเพื่อรองรับการเล่นเกมโดยเฉพาะ ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานการสื่อสาร 4G และ 5G จะเป็นส่วนสนับสนุนที่สำคัญ

ด้วยความนิยมในอี-สปอร์ต ที่เป็นการแข่งขันระหว่างผู้เล่นทั้งในและนอกประเทศ เป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่ช่วยต่อยอดและเชื่อมโยงอุตสาหกรรมเกมเข้ากับภาคธุรกิจอื่นๆ พร้อมการสนับสนุนของทั้งภาครัฐและเอกชน จะส่งผลให้อุตสาหกรรมเกมของไทย ในปี 2563 มีมูลค่าถึง 2.5 หมื่นล้านบาท หรือโต 10-12% เมื่อเทียบกับปี 2562

ตอบโจทย์ชีวิตยุคดิจิทัล ดิสรัปชัน

โดรนการเกษตรรับสมาร์ทฟาร์มิ่ง

โดรนเพื่อการเกษตร กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับเกษตรกรยุค 4.0 แม้ปัจจุบันราคาจะสูงถึง 200,000-300,000 บาท ยังเป็นอุปสรรคของเกษตรกรรายย่อย แต่อนาคตด้วยกลไกการแข่งขันของตลาด และเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มลดลงอย่างรวดเร็ว โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ในปี 2565 ราคาโดรนเพื่อการเกษตรจะลดลง อยู่ที่ 67,000-106,000 บาท จากราคาเปิดตัวในปี 2558 ที่ราว 300,000-500,000 บาท นอกจากนี้ยังเกิดโมเดลธุรกิจแบบแบ่งปัน หรือ เช่าใช้ ที่ช่วยเกษตรกรรายย่อยสามารถใช้ประโยชน์จากโดรนในการฉีดพ่นยา โดยอัตราค่าบริการนั้นมีตั้งแต่ไร่ละ 60-120 บาท ขึ้นอยู่กับจำนวนพื้นที่ ผู้ให้บริการมีรายได้เฉลี่ย ตั้งแต่ 80,000 บาทถึงระดับแสนบาท

สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ทำการวิจัยเรื่อง การศึกษาความคุ้มค่าการใช้อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ช่วยทำนาในภาคกลาง และภาคเหนือตอนล่างเบื้องต้นพบว่าเกษตรกรที่มีการจ้างบริการโดรนในการพ่นสารกำจัดวัชพืช/แมลงศัตรูพืช และการพ่นฮอร์โมนบำรุงข้าว ซึ่งการใช้โดรนพ่นสามารถลดเวลาลงเมื่อเทียบกับการใช้แรงงานคน 3-5 เท่า และลดปริมาณการใช้สารเคมีลง15-20% 

 

สมาร์ทโฮมโซลูชันครบวงจรตอบโจทย์สังคมเมือง

ในยุคที่หลายอุตสาหกรรมถูกกระแสเทคโนโลยีเข้ามา “ดิสรัปต์” จนห่างหายไปตามมยุคสมัย แต่ทว่ากลับเป็นโอกาสทองของกลุ่มตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ามูลค่ากว่าแสนล้านบาทในไทย ที่ยิ่งมีกระแสเทคโนโลยีเข้ามาก็ยิ่งผลักดันให้อุตสากรรมมีการเติบโตมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีกับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านกับเทคโนโลยีนั้นเป็นของคู่กันอยู่แล้ว

ทั้งนี้หากย้อนดูภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าเมืองไทยมูลค่ากว่า 2.5 แสนล้านบาท มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 3% ในปีนี้ หลังจากตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมาภาพรวมอุตสาหกรรมมีการเติบโตเพียง 1-2% เท่านั้น โดยปัจจัยหลักคือการเข้ามาของนวัตกรรม IoT และ AI ที่ถือเป็นหัวหอกสำคัญในการไดรฟ์ตลาดให้กลับมาเติบโตได้ดีอีกครั้ง หลังจากตลอดช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นนวัตกรรม IoT และ AI เข้ามาในไทยบ้างแล้ว แต่ยังถือเป็นเพียงแค่การเซตระบบ และการสร้างคอนเซ็ปต์การทำตลาดจากผู้ประกอบการเท่านั้น

หากแต่ปี 2563 การเข้ามาของเทคโนโลยี 5G ถือเป็นอีกหนึ่งความพร้อมของตลาดที่จะตอบโจทย์เทคโนโลยีดังกล่าว ขณะที่พฤติกรรมผู้บริโภคที่เริ่มปรับเปลี่ยนมาใช้เครื่องใช้ไฟฟ้านวัตกรรมใหม่มากขึ้น ทำให้ปีนี้ถือเป็นปีที่สำคัญที่ IoT จะเข้ามาไดรฟ์ตลาดแบบเต็มตัว ซึ่งที่ผ่านมาก็มียักษ์ใหญ่แบรนด์ดังที่มาพร้อมกับสมาร์ทโฮมโซลูชันครบวงจร ทั้ง แอลจี, พานาโซนิค, ไฮเออร์,ซัมซุง ฯลฯ ที่พัฒนาเครื่องใช้นวัตกรรมใหม่ทั้ง Ai และ IOT เข้าสู่ท้องตลาดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การคุมผ่านแอพพลิเคชันในมือ รีโมตอัจฉริยะ หรืออื่นๆ อีกมากมาย จนกลายเป็นโซลูชันที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างไม่ยากเย็น

แน่นอนว่าก้าวต่อไปของ “สมาร์ทโฮม” จะยิ่งทวีการเติบโต เพราะนอกจากเทคโนโลยีสุดลํ้าที่ยักษ์ใหญ่แบรนด์ดังยกทัพมาบุกตลาดไทยแล้ว การเข้ามาของเทคโนโลยี 5G ที่ภาครัฐพยายามผลักดันให้เกิดขึ้น ยิ่งเป็นฟันเฟืองชิ้นสำคัญที่จะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมให้เติบโตแซงหน้าธุรกิจอื่นได้อย่างไม่ยากเย็น ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่า ค่ายไหนแบรนด์ใด จะเข็นนวัตกรรมออกมาตอบโจทย์สังคมเมืองยุค Smart Social ได้บ้าง

หน้า14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,536 วันที่ 2 - 4 มกราคม พ.ศ. 2563

ตอบโจทย์ชีวิตยุคดิจิทัล ดิสรัปชัน