นางสาวภัทรพร จิรัญญกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พี เอส เอ็น อินเตอร์ฟู้ด จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูปแบรนด์ “Veganic” (เวกานิกส์) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า กลยุทธ์ในการทำตลาดของบริษัทในระยะต่อไปจะมีการดำเนินการทั้งในรูปแบบที่เป็นผลิตภัณฑ์ของแบรนด์เอง ซึ่งจะเป็นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เป็นการต่อยอดไปสู่การทำผักทอดในรูปแบบสแน็กเพื่อสุขภาพ ซึ่งมีใยอาหารสูง เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าและขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้น
เดิมทีผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ส่วนใหญ่จะเป็นผลไม้แปรรูป เช่น มันหวานหลากหลายสีทอดกรอบทั้งมันม่วง มันส้ม มันเหลืองและเผือก โดยเป็นเจ้าแรกในประเทศไทยที่ผลิตและจำหน่าย อีกทั้งยังครองส่วนแบ่งในตลาดมากที่สุดในปัจจุบัน และถั่วรวมอบกรอบ พร้อมกันนี้ก็จะดำเนินการเรื่องการนำผลิตภัณฑ์เข้าไปจำหน่ายในโรงแรมหรือที่พักต่างๆ เพื่อนำไปจัดวางไว้ในห้องพัก โดยจะเป็นการเปิดโอกาสให้กลุ่มของนักท่องเที่ยวต่างชาติได้เห็น รวมถึงรู้จักผลิตภัณฑ์ และได้ทดลองรสชาติ ซึ่งเมื่อเดินทางไปที่ไหนและได้เห็นแบรนด์ Veganic จะได้เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ได้แบบไม่ลังเล
“เดิมทีผลิตภัณฑ์ของแบรนด์จะมีวางจำหน่ายที่ร้านสะดวกซื้อต่างๆ ทั่วประเทศ รวมถึงผ่านทางตัวแทนจำหน่าย และร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ โดยในระยะต่อไปแบรนด์จะมุ่งเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีการผสมผสานนวัตกรรม รวมถึงความคิดสร้างสรรค์ และแนวโน้มของตลาดโลก”
นอกจากนี้ ยังจะมุ่งเน้นเรื่องของการรับจ้างผลิต (OEM) ให้กับผู้ประกอบการรายอื่นได้นำไปสร้างแบรนด์เพิ่มมากขึ้น โดยมองว่ากลยุทธ์ดังกล่าวนี้จะช่วยเรื่องการควบคุมต้นทุน เพราะบริษัทเป็นโรงงานผลิตหากทำ OEM สามารถควบคุมราคาของวัตถุในตลาดได้ อีกทั้งผลิตภัณฑ์ที่เป็น OEM ก็จะไม่เข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดจากผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ เนื่องจากบริษัทจะผลิตให้มีความแตกต่างกันในเรื่องของรูปแบบการนำเสนอ และรสชาติที่เป็นจุดเด่น ซึ่งจะทำให้บริษัทผู้ว่าจ้างได้ประโยชน์สูงสุดทางการตลาดเท่าๆกัน หรือวินวิน
“เมื่อลูกค้าโตบริษัทก็จะเติบโตตามไปด้วย อีกทั้งตลาดก็จะไม่มีทางมาชนกันเอง โดยการทำ OEM นั้นเราต้องการให้ผู้ประอบการที่มีความคิดสร้างสรรค์สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ของตนเองได้ โดยที่ไม่ต้องลงทุนเรื่องการสร้างโรงงานผลิต ซึ่งเปรียบเสมือนการเดินจูงมือไปด้วยกัน โดยเรามีหน้าที่ในการผลิตและผู้ประกอบการเหล่านั้นมีหน้าที่ในการหาตลาด เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค”
ขณะที่การทำตลาดต่างประเทศนั้น แบรนด์กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาตลาดใหม่เพื่อนำผลิตภัณฑ์เข้าไปทำตลาด โดยมองไว้ที่กลุ่มประเทศในโซนแอฟริกา ซึ่งเห็นแล้วว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพและน่าสนใจ โดยคาดว่าจะสามารถเข้าไปทำตลาดในปี 2563 ซึ่งเป็นการต่อยอดจากตลาดเดิม ซึ่งบริษัทมีพันธมิตรทางธุรกิจกว่า 20 ประเทศ เช่น จีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น, สวิตสเซอร์แลนด์, ออสเตรีย และฝรั่งเศส
นางสาวภัทรพร กล่าวต่อไปอีกว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ของปีนี้ไว้ที่ประมาณ 100 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมาซึ่งบริษัทมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 50-60 ล้านบาท โดยบริษัทมีข้อได้เปรียบตรงที่การไม่มีพนักงานทางด้านการขยาย แต่ตนจะเป็นผู้ติดต่อหรือเจรจาธุรกิจเองทั้งหมด ส่งผลให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ในเรื่องของความรวดเร็วในการตัดสินใจ ซึ่งทำให้ปิดการเจรจาการขยายได้เร็วขึ้น
จุดเด่นของผลิตภัณฑ์อยู่ที่เรื่องของรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ รูปแบบของแพ็กเกจจิ้งที่ดูทันสมัย และได้การรับรองมาตรฐานระดับสากล สามารถนำผลิตภัณฑ์ไปจำหน่ายที่ต่างประเทศได้ ขณะที่แนวโน้มของตลาดอาหารเพื่อสุขภาพ โดยเฉพาะในรูปแบบของสแน็กเชื่อว่ายังเติบโตได้อีกมาก อาจจะสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน หากสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ถูกทาง ก็จะมีกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสนใจในเรื่องสุขภาพพร้อมจ่าย อีกทั้งกระแสการรัก และดูแลสุขภาพก็มีอัตราการเติบโตที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หลักคิดในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ มองว่าอยู่ที่เรื่องความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า เช่น หากบริษัทให้ตัวแทนจำหน่ายรายใดได้รับสิทธิในพื้นที่บริเวณนั้นไปแล้ว จะไม่มีการให้มีตัวแทนจำหน่ายซํ้าซ้อนอีก หรือหากบริษัทรับทำ OEM ให้กับผู้ประกอบการรายใดไปแล้ว จะไม่มีการทำ OEM ให้กับเจ้าอื่นอีกในลักษณะที่เป็นผลิตภัณฑ์เดียวกัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเรื่องของความรวดเร็วในการผลิตตามที่ได้รับออร์เดอร์ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ไม่หยุดนิ่งตามแนวโน้มของตลาด
หน้า 8 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3524 วันที่ 21-23 พฤศจิกายน 2562