อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ร่อนหนังสือยังไม่มีสารเคมีทดแทน 3 สารพิษ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปีศึกษา ส่วนสารกลูโฟซิเนต-แอมโมเนียแพงกว่า 3 เท่า ยืนยันบริสุทธิ์ใจไม่มีเอี่ยวเอื้อนายทุนสารพิษ หากพบมีความผิดสั่งย้าย ปลดได้ทันที
จากกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการด่วนที่สุดถึงปลัดเกษตรและสหกรณ์ และอธิบดีกรมวิชาการเกษตรหรือผู้เกี่ยวข้องให้ไปช่วยกันพิจารณาหาข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงว่าปัจจุบันมีสารธรรมชาติหรือวิธีการกำจัดวัชพืชอื่นใดที่สามารถใช้แทน 3 สารเคมี ได้แก่ พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส ได้แล้วหรือยัง และตามกฎหมายวัตถุอันตรายและหรือกฎหมายอื่นๆ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีอำนาจออกคำสั่งห้ามใช้หรือห้ามนำเข้าสารเคมีทั้ง 3 ชนิดได้ทันทีหรือไม่
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ทางกรมวิชาการเกษตร ได้ทำหนังสือชี้แจงมาแล้ว ลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2562 ว่าข้อเท็จจริงทางวิชาการปัจจุบันยังไม่มีสารหรือวิธีการที่เหมาะสมที่สามารถทดแทนสารไกรโฟเซต พาราควอต และคลอร์ไฟริฟอส ขณะนี้ทางกรมกำลังเร่งดำเนินการวิจัยเพื่อหาวิธีการแบบบูรณาการมาใช้ทดแทน โดยได้รับการสนับสนุนวิจัยจาก สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร)องค์การมหาชน) ซึ่งต้องใช้เวลาวิจัยประมาณ 2 ปี จึงจะได้ข้อสรุปผลการวิจัยที่ชัดเจน และแม้ว่าจะมีการกล่าวหาว่าสารกลูโฟซิเต-แอมโมเนีย สามารถใช้ทดแทนได้ แต่ต้นทุนการใช้สารต่อไร่จะสูงกว่า ประมาณ 3 เท่า และไม่สามารถควบคุมชนิดของวัชพืชได้จำนวนมากเท่ากับาสารพาราควอตและไกลโฟเซต
“ยืนยันว่าข้าราชการของกรมวิชาการเกษตรไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ในการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายทั้ง 3 ชนิด หากรัฐมนตรีว่าการฯ พบว่ามีการรับผลประโยชน์จากการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายทั้ง 3 ชนิด สามาถ ปลด ย้ายข้าราชการได้ทันที ลงนามโดยอธิบดีกรมวิชาการเกษตร
เอกสารประกอบ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
● แฉเบื้องหลัง!จำกัดการใช้ 'สารเคมี' ก.เกษตรฯ
● ราชกิจจาฯ ประกาศ!!จำกัดใช้ 3 สารเคมีเกษตร
● จุดจบ! 3 สารเคมีพิษสิ้นแผ่นดินไทย
● ผวา 3 สารเคมีเกษตรทะลัก‘ตลาดมืด’ถูกจำกัดนำเข้าสกัดเก็งกำไร
● มิ.ย.นี้กดปุ่มขึ้นทะเบียนผวาเกษตรกรไม่มีสิทธิ์ซื้อ 3 สารเคมี