ธสน. เตรียมเปิดสำนักงานผู้แทนแห่ง 2 ที่เวียงจันทน์

29 ต.ค. 2561 | 06:11 น.
ธสน. เผย เดือน พ.ย. นี้ มีแผนเปิดสำนักงานผู้แทนแห่งที่ 2 ที่เวียงจันทน์ และปี 62 เปิดเพิ่มที่กัมพูชา รองรับการส่งเสริมการค้าการลงทุนกับประเทศคู่ค้าหลักใน CLMV ชี้ผลประกอบการ 9 เดือน เงินให้สินเชื่อคงค้าง 95,817 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10,880 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ ธสน. (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ธนาคารมีแผนเปิดสำนักงานผู้แทน (Representative Office) ในกลุ่มประเทศ CLMV เพิ่มเติม จากที่ได้เปิดสำนักงานผู้แทนในต่างประเทศแห่งแรกในย่างกุ้ง เมื่อปี 2560 และแห่งที่ 2 ในเวียงจันทน์ สปป.ลาว ซึ่งจะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในเดือน พ.ย. 2561 จากนั้นปี 2562 จะดำเนินการเปิดสำนักงานผู้แทนในพนมเปญ กัมพูชา ต่อไป เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนกับประเทศคู่ค้าหลักในกลุ่มประเทศ CLMV และเพิ่มสัดส่วนการค้าและการลงทุนของผู้ประกอบการไทย

ทั้งนี้ การสนับสนุนผู้ประกอบการไทยขยายฐานการค้าและการลงทุนไปยังต่างประเทศ ปัจจุบัน ธนาคารมีวงเงินให้การสนับสนุนสินเชื่อโครงการระหว่างประเทศรวมทั้งสิ้น 66,718 ล้านบาท และมีเงินให้สินเชื่อคงค้าง ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2561 จำนวน 38,218 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการขยายฐานการค้าและการลงทุนไปยังตลาดใหม่ (New Frontiers) โดยเฉพาะ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพของผู้ประกอบการไทย โดย ณ สิ้นเดือน ก.ย. 2561 มีเงินให้สินเชื่อคงค้างจำนวน 29,197 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2560 เท่ากับ 1,302 ล้านบาท


619290197

สำหรับผลการดำเนินงานในรอบ 9 เดือนของปี 2561 นั้น ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อคงค้าง 95,817 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10,880 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.81 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็น สินเชื่อเพื่อการค้า 29,732 ล้านบาท และสินเชื่อเพื่อการลงทุน 66,085 ล้านบาท โดย ธสน. มีการปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และขนาดใหญ่ (L) เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดปริมาณธุรกิจ (Business Turnover) 131,474 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นปริมาณธุรกิจของ SMEs เท่ากับ 74,740 ล้านบาท และ ณ สิ้นเดือน ก.ย. 2561 มีเงินให้สินเชื่อคงค้างแก่ SMEs เท่ากับ 38,351 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.86% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งหมดนี้เป็นผลให้ ธสน. มีกำไรสุทธิ 1,102 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.48% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้ ธนาคารยังมีการบริหารจัดการสินเชื่อด้อยคุณภาพให้มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs Ratio) ณ สิ้นเดือน ก.ย. 2561 อยู่ที่ 3.80% ลดลง 0.16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสินเชื่อด้อยคุณภาพจำนวน 3,643 ล้านบาท และมีเงินสำรองหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 8,928 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,246 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นสำรองหนี้พึงกันตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 4,058 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินสำรองที่กันไว้แล้วต่อสำรองหนี้พึงกัน 220.02% ทำให้ธนาคารยังคงดำรงฐานะการเงินที่มั่นคง

ส่วนการให้บริการประกันการส่งออกเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชำระเงินจากคู่ค้าในต่างประเทศ ช่วยเพิ่มความมั่นใจและความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย ทั้งในตลาดการค้าเดิมและตลาดใหม่ ในไตรมาส 3 ปี 2561 ธนาคารมีปริมาณธุรกิจด้านการรับประกันการส่งออกและประกันความเสี่ยงการลงทุนเท่ากับ 64,793 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,894 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นปริมาณธุรกิจของเอสเอ็มอีจำนวน 11,604 ล้านบาท หรือ 17.91% ของปริมาณธุรกิจสะสมรวม


CoreVaule_Footnote_D

"ปี 2561 ธนาคารมีการพัฒนารูปแบบการดำเนินธุรกิจรวม ทั้งพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปตามแผนแม่บท EXIM BANK 10 ปี เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน โดยธนาคารมุ่งมั่นส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการไทยโดยการให้สินเชื่อ ค้ำประกัน รับประกันความเสี่ยง และบริการที่เกี่ยวเนื่อง ขณะเดียวกัน ได้ดำเนินตามนโยบายรัฐบาลในการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้มากขึ้น โดยสนับสนุนให้เข้าถึงบริการทางการเงินเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ทั้งทางการค้า

นายพิศิษฐ์ กล่าวอีกว่า ธนาคารยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรและยุทธศาสตร์การค้าการลงทุนระหว่างประเทศ โดยเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีในการบริหารจัดการและบริการทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้สามารถเป็นที่พึ่งของผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยในตลาดโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา


090861-1927-9-335x503-8-335x503