เงินสะพัดรับเลือกตั้งดันเศรษฐกิจไตรมาส1โต4%เมกะโปรเจ็กต์หนุน

13 ต.ค. 2561 | 02:00 น.
 

ภาคเอกชน ฝากความหวังเม็ดเงินใช้จ่ายต่างจังหวัดสะพัด รับบรรยากาศเลือกตั้งปี 62 ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไตรมาสแรก ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 4% ห่วงนักท่องเที่ยวจีนยังไม่กลับ เหตุแก้ปัญหาไม่ชัด ประกอบกับเศรษฐกิจจีนชะลอต่อเนื่องถึงปีหน้า
ปัจจัยหนุนหลักๆ ที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปีนี้ขยายตัวได้ 4.4% และ 4.2% ในปีหน้า ตามประมาณการของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) มาจากการใช้จ่ายภาคเอกชนทั้งการบริโภคและการลงทุน และไตรมาสสุดท้ายของปี ยังเป็นไฮซีซั่นสำหรับการท่องเที่ยว ที่คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมาเป็นบวก หลังลดลงต่อเนื่อง -0.9% ในเดือนกรกฎาคมและ -11.8% ในเดือนสิงหาคม และการเลือกตั้งที่จะสนับสนุนการใช้จ่ายในต่างจังหวัด เป็นปัจจัยบวกในช่วงสิ้นปีนี้

ขณะที่ธนาคารโลก(เวิลด์แบงก์) เพิ่มประมาณการจีดีพีไทยปี 2561 จาก 4.1% เป็น 4.5% ส่วนหนึ่งมาจากการเร่งลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็กต์ แต่มองแนวโน้มปี 2562 และ 2563 จะชะลอลงมาอยู่ 3.9%

นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทยฯกล่าวว่า ปัจจัยต่างประเทศยังเป็นความท้าทายหลัก ไม่ว่าข้อพิพาททางการค้าหรือสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งคาดว่าจะปรับเพิ่มในไตรมาส 1 ปี 2562 และเดือนมิถุนายน ขณะที่เศรษฐกิจจีนชะลอลงและคาดว่าจะชะลอต่อเนื่องถึงปีหน้า ทำให้ธนาคารกลางต้องอัดฉีดสภาพคล่อง ขณะที่แนวโน้มราคานํ้ามันยังไม่ชัดเจน แม้จะปรับลดลงจาก 85-86 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 83 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม

“เศรษฐกิจจีนที่ชะลอ นอกจากส่งผลลบต่อการท่องเที่ยวไทยแล้ว ยังกระทบส่งออกด้วย แต่มีปัจจัยบวกจากธุรกิจที่เชื่อมั่นว่า การเลือกตั้งจะสร้างบรรยา กาศใช้จ่าย จากกิจกรรมหาเสียง ทำให้เงินหมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจและเม็ดเงินสะพัดช่วงหนึ่งบวกกับภาครัฐที่เร่งเบิกจ่ายงบลงทุนและงบใช้จ่าย ทำให้จีดีพีไทยสิ้นปีนี้มีโอกาสขยายได้ที่ 4.5% ส่วนไตรมาสแรกปีหน้าน่าจะเกิน 4% แต่ตํ่ากว่า 4.5%”

[caption id="attachment_330772" align="aligncenter" width="379"] สมประวิณ มันประเสริฐ สมประวิณ มันประเสริฐ[/caption]

นายสมประวิณ  มันประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยากล่าวว่า มีความเป็นไปได้สูง ที่ทั้งปีนี้จีดีพีไทยจะขยายตัวที่ 4.7% หลังปรับเพิ่มประมาณการการบริโภคภาคเอกชนจาก 3.8% เป็น 4.1% การลงทุนเอกชนจาก 4.1% เป็น 4.3% หลังจากเริ่มเห็นการรับไม้ต่อจากภาคส่งออกที่เติบโตทำให้เศรษฐกิจในประเทศเริ่มหมุนวงล้อต่อเนื่อง โดยยังคาดการณ์การส่งออกไว้ที่ 9.0% และหากโครงการลงทุนภาครัฐปีนี้ขยายตัวได้ 7.0% และปีหน้ามีความเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นมอเตอร์เวย์ รถไฟฟ้าทางคู่ หรือรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน จะทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบใน 1-2 ปีข้างหน้า และเป็นตัวเข้ามาเพิ่มขนาดการโตของจีดีพีปี 2561 ได้อีกมาก

“ จีดีพีไตรมาสแรกปีหน้า น่าจะขยายตัวได้ 4.0% จากฐานที่สูงในปีนี้และแนวโน้มเศรษฐกิจโลกไม่เติบโตในอัตราเร่งแต่จะเห็นการชะลอของเศรษฐกิจและนโยบายการเงินโลกปรับสู่ปกติ จะส่งผลต่อภาคส่งออกไทย จากประเทศคู่ค้ารวมถึงสหภาพยุโรปที่จะถอนการอัดฉีดสภาพคล่องและทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยตามเฟด แม้ว่าการกีดกันการค้ายังกระทบไทยไม่มาก แต่แนวโน้มต้องจับตาความเสี่ยงและเตรียมรับมือสหรัฐฯ ที่จะติดตามดูประเทศที่เกินดุลการค้า โดยทั้งปี 2562 คาดว่าจีดีพจะขยายตัวที่ 4.2%”

MP24-3408-A

นายทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ประจำประเทศไทย ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า จีดีพีปีนี้ขยายตัวได้ 4.3% เพราะยังไม่แน่ใจว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาหรือไม่ เพราะไม่เห็นการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน และแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอาจทำให้คนจีนไม่มั่นใจรายได้ในอนาคตด้วย ซึ่งธนาคารมองจีพีดีปีนี้เติบโต 4% โดยการเลือกตั้งจะสนับสนุนการใช้จ่ายในต่างจังหวัด เป็นปัจจัยบวกในช่วงสิ้นปีต่อเนื่องถึงปีหน้า ประกอบกับการลงทุนภาครัฐ ที่แม้เปลี่ยนรัฐบาลใหม่ แต่เชื่อว่า จะถูกสานต่อและหนุนให้เอกชนหันมาลงทุนเพิ่มและการลงทุนภาคเอกชนใหม่จะแข็งแรงขึ้นในปี 2562

“การออกมาเคลื่อนไหวที่อิสระมากขึ้น อาจจะนำไปสู่ความเสี่ยงทางการเมืองภายในประเทศ ส่วนระยะกลางต้องติดตามผลที่จะเกิดขึ้นตามมาจากมาตรการกีดกันทางการค้ารวมถึงปัญหาตลาดเกิดใหม่ที่เปราะบาง แม้ไทยจะไม่มีประเด็นขาดดุลมาก เช่น ตุรกีและอาร์เจนตินาและปีหน้าโลกจะปรับลดสภาพคล่องลงและปรับขึ้นดอกเบี้ย จึงเป็นความกังวลถึงแนวโน้มว่า จะไม่มีสภาพคล่องคงค้างเกื้อหนุนตลาดเหมือนที่ผ่านมา”

หน้า 23-24 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,408 วันที่ 11 - 13 ตุลาคม พ.ศ. 2561

595959859