“เศรษฐี มิตรชาวไร่” เตรียมต่อยอดผลิตภัณฑ์ทำลูกเดือยอบกรอบรสชาติต่างๆ พร้อมขยายช่องทางการจำหน่ายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และลดขนาดบรรจุภัณฑ์เจาะกลุ่มระดับกลาง เล็งนำเม็ดมะม่วงหิมพานต์รสทุเรียนบุกตลาดจีน เชื่อปีนี้รายได้โต 5%
นายสุพจน์ พงษ์วัชรารักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เศรษฐี มิตรชาวไร่ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายถั่วลิสง เม็ดมะม่วง หิมพานต์ และเมล็ดทานตะวันอบกรอบแบรนด์ “มิตรชาวไร่” (Mit Chaow Rai) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปีนี้บริษัทมีแผนที่จะต่อยอดผลิตภัณฑ์ไปสู่การทำลูกเดือยอบกรอบรสชาติต่างๆ พร้อมทั้งเพิ่มช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้กระจายครอบคลุมทุกส่วนของการตลาดให้ได้ นอกจากนี้ บริษัทยังจะมีการปรับกลยุทธ์ในการทำตลาด ด้วยการปรับลดขนาดของบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้ผู้บริโภคระดับกลางสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของแบรนด์จะมีราคาค่อนข้างสูง จากวัตถุดิบที่ถูกคัดสรรมาเป็นอย่างดี ดังนั้น ผู้บริโภคจึงต้องเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงเป็นหลัก
อย่างไรก็ดี บริษัทยังมีแผนที่จะขยายตลาดไปยังต่างประเทศ โดยเลือกนำเม็ดมะม่วงหิมพานต์อบกรอบรสชาติทุเรียนเข้าไปทำตลาด ซึ่งมองที่ตลาดประเทศจีนเป็นหลัก โดยจะใช้รูปแบบของการมีตัวแทนจำหน่ายเข้าไปทำตลาดให้ เพราะจะรู้ช่องทางในการจำหน่ายมากกว่า และบริษัทเองก็เป็นเพียงผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จึงไม่สามารถเข้าไปทำตลาดด้วยตนเองได้
“บริษัทเลือกที่จะทำตลาดประเทศจีนก่อน เพราะบริษัทเป็นเอสเอ็มอี หากตลาดในจีนมีกระแสตอบรับที่ดี เพียงเท่านี้กำลังการผลิตของบริษัทก็อาจจะผลิตได้ไม่ทันต่อความต้องการของตลาดแล้ว โดยจากกลยุทธ์ในการทำตลาดของปีนี้เชื่อว่าจะทำให้บริษัทมีรายได้โตที่ 5% จากปีที่ผ่านมาซึ่งบริษัทมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 50 ล้านบาท”
สำหรับช่องทางการจำหน่ายหลักของแบรนด์ จะอยู่ที่ห้างโมเดิร์นเทรดไม่ว่าจะเป็น ฟู้ดแลนด์ (Foodland), วิลล่ามาร์เก็ต(Villa Market), เลมอนฟาร์ม (Lemon Farm) และโฮมเฟรชมาร์ท ในเครือของห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีช่องทางออนไลน์ ทั้งเพจเฟซ บุ๊ก ,เว็บไซต์ และไลน์แอด (Line@)
นายสุพจน์ กล่าวต่อไปอีกว่า ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ มิตรชาวไร่ ประกอบด้วย ถั่วลิสงอบบกรอบ เม็ดมะม่วง หิมพานต์อบกรอบ และเมล็ดทานตะวันอบกรอบ โดยจะมีรสชาติให้เลือกอย่างหลากหลาย เช่น วาซาบิ ซึ่งเป็นรส ชาติที่ขายดีที่สุด, กาแฟ, ไก่,โนริสาหร่าย, ต้มยำกุ้ง, มะพร้าว, เห็ดชิตาเกะ และรสชาร์โคล โดยถือเป็นเจ้าแรกในประเทศ ไทยที่ทำ เป็นต้น ส่วนเม็ดมะม่วง หิมพานต์จะมีรสทุเรียนเป็นจุดเด่น ซึ่งจากการที่ได้ไปออกงานแสดงสินค้าพบว่าผู้บริโภคต่างชาติที่ไม่ชอบทุเรียน เพราะกลิ่นที่ค่อนข้างรุนแรง สามารถรับประทานได้ และชอบในผลิตภัณฑ์ เพราะบริษัทได้มีการปรับลดกลิ่นไม่ให้ฉุน โดยที่รสชาติจะออกแนวหอมหวานเป็นสำคัญ
ขณะที่เมล็ดทานตะวันจะมีรสชาติโมโรเฮยะ ซึ่งเป็นผักเพื่อสุขภาพที่ฟาโรห์ของประเทศอียิปต์เสวยเมื่อต้องการให้สุขภาพแข็งแรง โดยผักโมโรเฮยะถูกนำเข้ามาปลูกในประเทศไทยโดยคนญี่ปุ่น และนำไปเป็นส่วนผสมในการทำบะหมี่ผัก เพื่อส่งให้กับร้านอาหารเจ้าดัง ตนจึงเลือกที่จะนำผักดังกล่าวมาทำเป็นส่วนผสม เพื่อทำเป็นรสชาติเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค
ส่วนหลักคิดในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น สุพจน์บอกว่า อยู่ที่ วุฒิภาวะของการเป็นผู้นำซึ่งจะต้องสามารถนำทีมได้ เพราะเอสเอ็มอีมีทรัพยากรไม่เท่าบริษัทขนาดใหญ่ ดังนั้น ผู้นำจะต้องเก่งทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเทคนิค, นวัตกรรม, วัตถุดิบ, การผลิต, เครื่องกล, การตลาด และการบริหาร เป็นต้น
“จะเรียกว่าต้องเป็นซูเปอร์แมนเลยก็ว่าได้ โดยธุรกิจจะประสบความสำเร็จได้ต้องใช้กึ๋นไม่ใช่โชคช่วย ซึ่งผู้นำจะต้องนำองค์กรให้ได้ จะต้องรู้จักวิธีการเรียงลำดับความสำคัญของปัญหา เพื่อแก้ไขให้ได้อย่างตรงจุด”
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคของเอสเอ็มอีมีอยู่มากซึ่งอาจทำให้พนักงานหมดกำลังใจ เช่น การที่พนักงานมองนํ้าเหลือเพียงครึ่งแก้ว เราจะโน้มน้าวให้ทีมงานเปลี่ยนทัศนคติในการมองนํ้าที่เหลืออยู่แค่ครึ่งแก้วมาเป็นนํ้าที่เหลือตั้งครึ่งแก้วแล้วได้อย่างไร พร้อมกับผลักดันให้ทีมงานช่วยร่วมแรงร่วมใจกันเติมนํ้าให้เต็มแก้วให้ได้ แค่คิดบวกอาจจะไม่มีประโยชน์มากนัก หากไม่สามารถ เติมนํ้าในแก้วได้
หน้า 13 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3388 วันที่ 2-4 สิงหาคม 2561