'ขสมก.' อ่วมอรทัย! ชดใช้ 'เบสท์ริน' 1,159 ล้าน

10 เม.ย. 2561 | 11:49 น.
อัปเดตล่าสุด :10 เม.ย. 2561 | 18:49 น.
วันที่ 10 เม.ย. 2561 - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ชดใช้ค่าเสียหายให้กับ บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด,  บริษัทอาร์ แอนด์ เอ คอมเมอร์เชียล วิฮีเคิลส์ เอสดีเอ็น. บีเอชดี., บริษัทรถยนต์ เซินหลง (เซี่ยงไฮ้) จำกัด และบริษัทเทคโนโลยีพลังงานใหม่ เป่ยฟังกวางโจว จำกัด

เนื่องจากบอกเลิกสัญญาจัดซื้อจัดจ้างรถยนต์โดยสารปรับอากาศเอ็นจีวี และบำรุงรักษาจำนวน 489 คัน โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นเงิน 1,159,969,552.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินต้น 1,147,831,350.06 บาท นับถัดจากวันที่ 7 มิ.ย. 2560 ซึ่งเป็นวันฟ้องคดีเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้ ขสมก. ส่งมอบหนังสือค้ำประกันของธนาคารไอซีบีซี (ไทย) จำกัด (มหาชน) ลงวันที่ 30 ก.ย. 2559 จำนวน 547,427.71 บาท คืนแก่ บริษัท เบสท์รินฯ กับพวก ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด หากคืนไม่ได้ให้ชดใช้เป็นเงินตามจำนวนหนังสือค้ำประกันดังกล่าว


TP15-3222-a-696x385

ทั้งนี้ ศาลให้เหตุผลว่า ข้อเท็จจริงในคดีปรากฏว่า บริษัท เบสท์รินฯ กับพวกทำสัญญาซื้อขายรถเมล์เอ็นจีวีให้ ขสมก. จำนวน 489 คัน เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2559 และมีกำหนดส่งมอบรถทั้งหมดภายใน 90 วัน นับถัดจากวันลงนามสัญญา ซึ่งบริษัทได้ดำเนินการนำเข้ารถเมล์เอ็นซีทั้ง 489 คัน ณ วันที่ 24 ม.ค. 2560 และได้นำรถ 390 คัน ไปติดตั้งระบบจีพีเอส ในจำนวนนี้ได้นำไปจดทะเบียนต่อกรมขนส่งทางบกเป็นชื่อของ ขสมก. แล้วจำนวน 292 คัน แม้จะมีรถยนต์บางส่วนยังอยู่ที่กรมศุลกากร

การที่ ขสมก. ไม่ตรวจรับมอบรถโดยอ้างว่า ได้รับหนังสือจากสำนักงานอัยการสูงสุดแจ้งว่า ให้รอกรมศุลกากรพิจารณาถิ่นกำเนิดสินค้าก่อน รวมทั้งอ้างว่า ส่งมอบรถไม่เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดในสัญญา เป็นการขัดแย้งกับข้อเท็จจริง ที่คณะกรรมการตรวจสอบรับและทดสอบรถเมล์เอ็นจีวีมีมติให้มีการส่งมอบรถเมล์เอ็นจีวีเป็นงวด ๆ ได้ ดังนั้น การที่ ขสมก. อ้างสิทธิตามข้อ 21 ของสัญญาที่ว่า ขสมก. มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ทันที หากบริษัท เบสท์รินฯ ส่งมอบรถไม่ครบตามจำนวนที่กำหนดในสัญญา และมีสิทธิริบหลักประกัน รวมทั้งสิทธิเรียกค่าเสียหายจากบริษัทฯ ได้นั้น เป็นข้ออ้างที่ไม่อาจรับฟังได้ การบอกสัญญาจึงไม่ชอบด้วยมาตรา 387 ประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์


แบนเนอร์รายการฐานยานยนต์

ส่วนที่ ขสมก. อ้างว่า รถเมล์เอ็นจีวีดังกล่าวไมได้เป็นรถนำเข้าสำเร็จรูปทั้งคันจากประเทศจีน หรือ เป็นรถที่ประกอบในประเทศไทย แต่เป็นรถที่ประกอบขึ้นที่ประเทศมาเลเซียนั้น ศาลเห็นว่า จากประกาศของ ขสมก. เรื่อง “การจัดซื้อรถเมล์เอ็นซีวี พร้อมซ่อมแซมและบำรุงรักษา” ลงวันที่ 23 พ.ค. 2559 มีเจตนารมณ์ในการจัดซื้อที่มิได้ถือแหล่งผลิตหรือแหล่งประกอบรถเมล์เอ็นจีวีเป็นสาระสำคัญ แม้ตามข้อตกลงในสัญญา ตกลงที่จะซื้อขายรถที่ผลิตในประเทศจีนทั้งคัน แต่ข้อเท็จจริง เป็นการนำรถมาประกอบที่ประเทศมาเลเซีย ก็ไม่ใช่ข้อแตกต่าง ที่จะทำให้การจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวีของ ขสมก. ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ในการบริการสาธารณะ ดังนั้น การที่ ขสมก. อ้างว่า บริษัท เบสท์ริน กับพวกเป็นฝ่ายผิดสัญญา และสามารถบอกเลิกสัญญาตามกฎหมายได้ จึงไม่อาจรับฟังได้  จึงพิพากษาให้ ขสมก. ชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าว

นอกจากนี้ ศาลปกครองกลางยังได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาในคดีที่บริษัท สยาม สแตนดาร์ด เอนเนอจี้ จำกัด ซึ่งเป็นผู้เข้าร่วมประมูลโครงการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2560  หรือ หลังจากที่ ขสมก. ยกเลิกสัญญาจัดซื้อรถเมล์จำนวนดังกล่าวจาก บริษัท เบสท์ริน แล้ว ได้ยื่นฟ้อง ขสมก. และคณะกรรมการบริหารกิจการ ขสมก. (บอร์ด ขสมก.) กรณีบอร์ด ขสมก. มีมติในการประชุมครั้งที่ 16/2560 ให้ ขสมก. ทำสัญญาจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี จำนวน 489 คัน วงเงิน 4,221 ล้านบาทเศษ จากกลุ่มทำงาน SCN-CHO โดยบริษัท ช. ทวี จำกัด (มหาชน) และบริษัท สแกนอินเตอร์จำกัด (มหาชน) เนื่องจากศาลเห็นว่า มติบอร์ด ขสมก. ในการประชุมครั้งที่ 15/2560 วันที่ 18 ธ.ค. 2560 และการประชุมครั้งที่ 16/2560 วันที่ 20 ธ.ค. 2560 น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะปรากฏข้อเท็จจริงจากพยานว่า ในการประชุมทั้ง 2 ครั้งดังกล่าว ไม่มีการลงมติอนุมัติให้ ขสมก. เข้าทำสัญญา และไม่มีการรับรองรายงานการประชุมดังกล่าว จึงสั่งมิให้ ขสมก. และบอร์ด ขสมก. นำมติดังกล่าวไปดำเนินการใดที่มีผลผูกพันกับ ขสมก. และบอร์ด ขสมก. เป็นการชั่วคราว จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา หรือ คำสั่งเป็นอย่างอื่น

 

[caption id="attachment_274866" align="aligncenter" width="503"] คณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเบสท์รินฯ คณิสสร์ ศรีวชิระประภา
ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเบสท์รินฯ[/caption]

ด้าน นายคณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเบสท์รินฯ กล่าวว่า คำพิพากษาวันนี้ ถือว่า เป็นการให้ความเป็นธรรมกับบริษัทฯ อย่างมาก เพราะกว่า 1 ปีที่ผ่านมา บริษัทตกเป็นจำเลยสังคมของประเทศ ถือว่า ศาลเมตตาคืนความเป็นธรรมให้ ซึ่งความจริงแล้ว เราไม่ได้อยากจะได้ค่าเสียหาย แต่ต้องการที่จะส่งมอบรถที่สั่งมาให้กับทาง ขสมก. เพื่อที่ประชาชนจะได้ใช้ โดยทางบริษัทก็จะไม่อุทธรณ์เรื่องค่าเสียหายเพิ่ม แต่พยายามเจรจากับรัฐบาล และ ขสมก. เพื่อหาทาง โดยอาจจะมีการทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะให้ ขสมก. มีการเช่า หรือ ซื้อ ของบริษัทฯ ไป เพื่อประชาชนจะได้มีรถใช้


……………….
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ขสมก.ยกมาตรฐานเปิดตัวรถโดยสารปรับอากาศNGVรุ่นใหม่
ขสมก.แจงรฟม.กรณีไม่ย้ายรถNGVโยนลูกเบสท์รินฯอ้างคดีค้างศาลปกครอง


ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว