“ฟาสเทคโน” ปรับกลยุทธ์ทางการตลาด มุ่งช่องทางออนไลน์ สร้างเว็บไซต์เป็นทางนำสินค้าขายเว็บออนไลน์ พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ “โต๊ะนานา” เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ และเพิ่มผลิตภัณฑ์ทุก 2 เดือน เชื่อช่วยรักษาระดับที่ 70 ล้านบาท ปี 60 แม้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
นางกรภัคร์ มิสิทธิตา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟาสเทคโน จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ “ฟาสเทค” (FASTTECH) และแบรนด์ “เช็งดู” (CHENG DO) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า กลยุทธ์การทำตลาดหลังจากนี้ไปจะมุ่งเน้นการใช้ช่องทางออนไลน์ เพื่อขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้น โดยได้มีการดำเนินการในส่วนของการจัดทำเว็บอย่างเป็นทางการ รวมถึงนำผลิตภัณฑ์ไปจำหน่ายผ่านทางเว็บไซต์ของลาซาด้า (www.LAZADA.com), อีเลฟเว่นสตรีท (www.11street.co.th) และเพจเฟซบุ๊ก
ทั้งนี้ เดิมทีบริษัทจะมีการทำตลาดแบ่งออกไป 2 แบรนด์อย่างชัดเจน โดยแบรนด์ฟาสเทคจะเน้นวางจำหน่ายตามห้างโมเดิร์นเทรด ส่วนแบรนด์เช็ง ดู จะมุ่งเน้นการทำตลาดผ่านงานแสดงสินค้า หรือ งานแฟร์ ทั้งงานบ้านและสวน, งานสถาปนิก เป็นต้น เพราะเป็นงานที่ลูกค้าส่วนใหญ่จะนิยมการเข้ามาสั่งติดตั้ง และจะต้องมีการวัดขนาดของพื้นที่บ้าน เพราะฉะนั้น จึงต้องใช้กลยุทธ์ในการเข้าหาลูกค้าโดยตรง เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงจุด และยังมีงานโครงการที่มีการติดต่อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
“แบรนด์ฟาสเทคจะเน้นไปที่ฉากกั้นสำเร็จรูป และชั้นไม้ติดผนัง ขณะที่ แบรนด์เช็ง ดู จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากไม้สักและไม้ไผ่ เป็นต้น โดยทุกผลิตภัณฑ์ บริษัทจะเป็นผู้นำทางด้านการตลาด มีการจดสิทธิบัตรไว้ตลอด และนำนวัตกรรมมาปรับใช้จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ และที่สำคัญคือ ทุกผลิตภัณฑ์สามารถใช้งานได้จริง”
อย่างไรก็ดี ในปีนี้ บริษัทยังได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาดภายใต้ชื่อ “โต๊ะนานา” โดยจะมีรูปแบบเป็นโต๊ะที่มีน้ำหนักไม่มากในสไตล์แบบโต๊ะญี่ปุ่น ซึ่งมีจุดเด่นที่โต๊ะสามารถปรับระดับได้ตามที่ต้องการ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ โดยเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตอยู่ในคอนโดฯ และมักจะนิยมนั่งทำงาน หรือแม้กระทั่งรับประทานอาหารบนเตียงนอน อีกทั้งบริษัทยังได้มีแผนในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ในทุก 2 เดือน เพื่อขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทจะมีการทดลองกับผู้บริโภคจริง เพื่อวัดกระแสตอบรับ ก่อนที่จะนำไปทำตลาดในงานจัดแสดงสินค้า
นางกรภัคร์ กล่าวอีกว่า จากกลยุทธ์การทำตลาดดังกล่าว เชื่อว่า จะทำให้บริษัทมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 70 ล้านบาท ในปี 2560 ซึ่งเป็นรายได้ในระดับที่ทรงตัวจากช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้อยู่ที่ระดับดังกล่าว หลังจากที่เศรษฐกิจเกิดการชะลอตัว
“ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเคยได้รับรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น PRIME MINISTER’S INDUSTY AWARD จากกระทรวงอุตสาหกรรม ปี 2553, ได้รับรางวัลสุดยอด SMEs แห่งชาติ จากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กระทรวงอุตสาหกรรม และได้รับ CERTIFICATE OF MATERIAL EXCELLENCE FORM Material ConneXion OF AMERICA ทั้งหมด 4 ปีซ้อน ในผลงานการผลิตและออกแบบนวัตกรรมวัสดุจากไม้สักและไม้ไผ่ โดยผ่านหน่วยงาน Thailand Creative & Design Center (TCDC) และในปี 2560 ก็ได้รับรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น”
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,304 วันที่ 12-14 ต.ค. 2560