ทิศทางการดำเนินธุรกิจของดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนลภายในช่วง 5 ปีนี้ ไม่เพียงมุ่งขยายฐานรายได้นอกประเทศ จากดีลขยายพอร์ตโรงแรมในมืออีก 92 แห่งใน 22 ประเทศที่จะทยอยเปิดให้บริการในปีหน้ารวมถึงการเข้าไปร่วมลงทุนธุรกิจโรงแรม,ธุรกิจโรงเรียนการโรงแรมในต่างประเทศ และเมกกะโปรเจ็กต์ อย่างโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัลพาร์ค” ที่จะปรับโฉมพื้นที่โรงแรมดุสิตธานีครั้งใหญ่ ภายใต้โครงการมิกซ์ยูส มูลค่าการลงทุนกว่า 3.6 หมื่นล้านบาทเท่านั้น แต่ดุสิตฯยังได้ขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจสตาร์ทอัพอีกด้วย หลังได้เข้าไปลงทุนในบริษัทเฟฟสเตย์ จำกัด ( Favstay) เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาอ่านได้จากสัมภาษณ์พิเศษ “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล
++
โอทีเอ-Airbnb เสริมธุรกิจ
ซีอีโอ ศุภจี สะท้อนมุมมองถึงรูปแบบการท่องเที่ยว ที่เป็นนวัตกรรม อย่างพวก ทราเวลเอเย่นต์ ออนไลน์ (โอทีเอ) หรือ แอร์บีเอ็นบี ซึ่งเป็นในลักษณะแชร์ริ่งอีโคโนมี (เศรษฐกิจแบบแบ่งปั่น) เป็นสิ่งที่มันต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว คือโรงแรมเจอในลักษณะนี้ที่เราเรียกกันว่า Disruptive Business Model คือ รูปแบบ/โมเดลใหม่ของธุรกิจที่เข้ามามีผลกระทบ ซึ่งอุตสาหกรรมอื่นก็มี สื่อก็มีเยอะมากเลย ธนาคารก็เยอะ ทุกที่ก็มี แต่เรามองเป็นโอกาสในมุมที่ว่าถ้าเราสามารถที่จะเข้าใจได้ว่ารูปแบบของธุรกิจเหล่านั้น มันเข้ามาตอบโจทย์ของผู้บริโภคอย่างไร และเราสามารถใช้ประโยชน์จากเขาได้ด้วย มันน่าจะต่อยอดซึ่งกันและกัน
[caption id="attachment_174208" align="aligncenter" width="335"]
ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล[/caption]
โอทีเอ บางคนอาจจะหงุดหงิดที่ต้องจ่ายเงินให้เค้า 10-20% แล้วแต่เจ้า ในการเข้ามาจองห้องผ่านระบบ โดยที่เขาไม่ได้ลงทุนอะไรเลย แต่คุณศุภจี กลับมองว่าเขาเป็นคนที่สามารถ ที่จะทำให้เราเข้าไปถึงกลุ่มลูกค้าที่เราเข้าไปไม่ถึงในปัจจุบัน คือคนที่จะเข้าบุ๊คโรงแรมกับดุสิตฯเอง ในอดีตเป็นคนที่เข้ามาบุ๊คโดยตรง หรือบุ๊คผ่านทราเวลเอเย่นต์โดยทั่วไป รู้จักดุสิตฯจากชื่อเสียงที่เรามี แต่พอมีโอทีเอ เราสามารถกระจายเรื่องการให้โอกาสที่ลูกค้าที่อาจไม่เคยได้ยินชื่อดุสิตฯมาก่อน หรือไม่เคยคิดจะอยู่ดุสิตฯมาก่อน เข้ามาบุ๊คเราได้ ดังนั้นวิธีที่เราต้องทำ คือทำให้เขามั่นใจ ว่าการให้บริการของเรามันเป็นไปตามสิ่งที่เราต้องการ ตามเซ็กเม้นท์ที่เราต้องการ ซึ่งเซ็กเม้นท์เทชั่น เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เราต้องเข้าใจว่าลูกค้าที่มาดุสิตฯมาด้วยอะไร ต้องการอะไร เราจะได้ Target ไปโดยตรงในเซ็กเม้นท์ที่ต้องการ
ทั้งนี้เรามีดุสิตดอทคอม ที่เป็นตัวบุ๊คกิ้งโดยตรงมายังดุสิตฯโดยตรง ซึ่งเราก็ต้องทำใช้เทคโนโลยี บิ๊กดาต้า เข้ามาทำการวิเคราะห์ ว่าลูกค้าที่บุ๊คเข้ามาดุสิตดอทคอม ลูกค้ามีโปรไฟล์แบบไหน แล้วเราจะสามารถสร้างรอยัลตี้ โปรแกรมให้เขากลับมาใช้บริการของเราได้อย่างต่อเนื่องได้หรือเปล่า เซ็กเม้นท์นี้เราโฟกัสเองได้ เพราะเรามีการคุยกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เฉพาะแค่เมื่อเข้ามาพักอยู่กับเราเท่านั้น แต่หลังจากนั้นเราก็ยังติดต่อกับลูกค้าได้อยู่ ขณะที่โอทีเอ ก็เป็นเซ็กเม้นท์ ที่ลูกค้าไม่ได้เข้าจองที่ดุสิตฯโดยตรงอยู่แล้ว การขายผ่านโอทีเอ จึงเป็นการช่วยเสริมกันได้
หรืออย่างแชร์ริ่งอีโคโนมี อย่าง Airbnb เราต้องเข้าใจลูกค้าที่เข้าไปAirbnb เขาต้องการการให้บริการแบบไหน ซึ่งดุสิตฯก็ต้องให้บริการที่ไม่เหมือนกับเขาอยู่แล้ว ซึ่งตรงนี้เรามองว่าเป็นส่วนเสริมกันได้มากกว่า เลยทำให้เราไปลงทุนกับบริษัทที่มีรูปลักษณ์ที่ทำคล้ายๆกับAirbnb
++
ทุ่ม 34 ล.ลงทุนในเฟฟสเตย์
นี่เองจึงทำให้เมื่อเมษายนที่ผ่านมา ดุสิตฯได้เข้าไปลงทุน 1 ล้านดอลล่าร์สหรัฐหรือราว 34.5 ล้านบาทในบริษัทเฟฟสเตย์ จำกัด ( Favstay) บริษัทสตาร์อัพของคนไทยที่ไปจดทะเบียนที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งให้บริการที่พักตากอากาศในหัวเมืองท่องเที่ยวของประเทศเดือนไทย หลังทางเฟฟสเตย์ ระดมทุนในรอบ Series A ส่งผลให้ดุสิตฯถือครองหุ้น 9.24% ในเฟฟสเตย์
การเข้าไปลงทุนในธุรกิจสตาร์อัพดังกล่าว เฟฟสเตย์จะมีรูปแบบการให้บริการคล้ายๆกับAirbnb แต่อาจจะต่อยอดกว่า Airbnb ด้วยซ้ำไป เพราะเฟฟสเตย์ มีให้บริการเสริม ถ้าลูกค้ามาอยู่แล้วอยากได้บริการเสริม เช่น มีเซอร์วิสให้ในเรื่องเมื่อลูกค้ามาอยู่แล้วไม่ได้รับความสะดวกสบาย เช่น อาจแอร์ไม่เย็น หรือไฟไม่มีทีวีไม่เปิดไม่ได้ ถ้าเป็น Airbnb ลูกค้าต้องแก้ปัญหากันเองหรือโทรไปคุยกับเจ้าของพร๊อพเพอร์ตี้ แต่ เฟฟสเตย์ จะให้บริการเสริมโดยคนที่มาพักสามารถติดต่อเขาในการเข้ามาแก้ปัญหาให้ด้วยได้ ซึ่งปัจจุบันเฟฟสเตย์มีลิซที่พักตากอากาศในหัวเมืองท่องเที่ยวของไทยกว่า 1.2 หมื่นพร๊อพเพอร์ตี้และกำลังจะขยายต่อเนื่องไปยังประเทศอื่นๆด้วย
โดยเรามองว่าเซ็กเม้นท์ของดุสิตฯกับของเฟฟสเตย์ต่างกันไม่เห็นจำเป็นต้องสู้กัน สู้เราไปลงกับเขา ถ้าลูกค้าที่มาอยู่ดุสิตฯต้องการไปอยู่ในเมืองหรือในพื้นที่ที่เราไม่มี เราก็สามารถบุ๊กกิ้งต่อไปได้ที่เฟฟสเตย์ได้เลย หรือลูกค้าที่มาอยู่ที่เฟฟสเตย์ ถ้าเขาต้องการห้องที่เฟฟสเตย์ไม่มีพร๊อพเพอร์ตี้ ก็สามารถเข้ามาบุ๊กกิ้งโดยตรงได้ที่ดุสิตดอทคอมได้ ซึ่งเราไปลงทุน เพื่อเรียนรู้และโตไปด้วย แต่จุดสำคัญคือต้องเซ็กเม้นท์ให้ได้ ลูกค้าหลักของเรามีความต้องการอะไร แล้วเราสามารถตอบโจทย์เขาได้มากหรือเปล่า เราสามารถจะใช้ประโยชน์จากการที่เราเข้าไปร่วมลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน
++
ลงทุนสตาร์ทอัพอีกแห่ง
“ตัวเองเชื่อว่าสตาร์อัพที่ประสบความสำเร็จได้ ต้องอิงกับ ซึ่งดุสิตฯเป็น Mainstream และเชื่อว่า Mainstream ที่จะยั่งยืนในอนาคต ก็ต้องคอนเน็คอยู่กับสตาร์อัพ ด้วยเช่นกัน เพราะมันเป็นรูปแบบธุรกิจใหม่ ตัวเราเองถ้าจะไปทำแบบเขามันไม่ได้ เพราะเรามีรูปแบบโครงสร้างบริหารจัดการของเราที่แตกต่างกันอยู่ แล้วเราก็ไม่สามารถไปลงทุนในรูปแบบเดียวกับเขาด้วยตัวเราเอง แต่ถ้าเราไปคอนเน็คกับเขาได้ มันก็จะเป็นการเรียนรู้ พัฒนาไปด้วยกัน ก็มองว่าธุรกิจในอนาคต ถ้าเราสามารถลิงค์สตาร์ทอัพ กับ Mainstream ได้ มันก็ไปด้วยกันได้”
คุณศุภจี ยังเผยด้วยว่า ไม่เพียงการเข้าไปลงทุนเท่านั้น ต่อไประหว่างดุสิตฯและเฟฟสเตย์ ก็จะมีความร่วมมือระหว่างกันเพิ่มเติมด้วย ซึ่งนอกจากบุ๊กกิ้งที่เชื่อมกันแล้วเรื่องการให้บริการ เช่นบริการเสริมของเฟฟสเตย์ เมื่อลูกค้ามาอยู่แล้วต้องการเซอร์วิส ถ้าเฟฟสเตย์โตมากๆ เขาอาจมีปัญหา ดุสิตฯก็อาจจะให้บริการนั้นได้ ถ้าเราอยู่ในพื้นที่เดียวกัน เช่นถ้าเขากับเรามีพร๊อพเพอร์ตี้อยู่หัวหิน เราก็สามารถไปให้บริการเขาได้ด้วย นี่เป็นเพียงสตาร์อัพธุรกิจแรกที่ดุสิตฯเข้าไปลงทุน แต่เดี๋ยวดุสิตฯก็คงจะมีการลงทุนในรูปแบบนี้พอสมควร โดยมีแผนจะลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพเกี่ยวกับเรื่องการท่องเที่ยวอีก 1 บริษัท ที่กำลังอยู่ระหว่างการเจรจา
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,276 วันที่ 6 - 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2560