ผ่าไทม์ไลน์ ไทยปลดธงแดง ICAO ไม่เกินสิ้นปีนี้
ร่วม 2 ปีกว่าสำหรับการเดินแผนแก้ไขข้อบกพร่องในการกำกับดูแลด้านการบินพลเรือนของไทย หลังจากที่กรมการบินพลเรือน(บพ.)เดิม สอบตกในโครงการตรวจสอบการกำกับดูแลความปลอดภัยสากล (Universal Safety Oversight Audit Program; USOAP)ขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO)มาตั้งแต่ปี2558 วันนี้ดูเหมือนจะเริ่มเห็นภาพความชัดเจนกับเป้าหมายที่รัฐบาลคาดหวังไว้ว่าจะสามารถปลดธงแดงจาก ICAO ได้ภายในช่วงราวไตรมาส3-4 ปีนี้ เมื่อแผนแก้ไขข้อบกพร่องที่ไม่น่าพอใจร่วม580ข้อ ในจำนวนนี้เป็นข้อบกพร่องที่มีนัยสำคัญต่อความปลอดภัย (ICAO-SSC : Significant Safety Concerns) 33 ข้อที่ต้องแก้ไขเร่งด่วน เพื่อนำไปสู่การปลดธงแดงกับความคืบหน้าในการแก้ไขที่เป็นรูปธรรม
ทยอยออกAOCใหม่
โดยเฉพาะขั้นตอนการออกใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศใหม่ (AOC Re-certification) ตามมาตรฐานที่CAA International (CAAi) ซึ่งเป็นบริษัทให้คำปรึกษาด้านมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบิน ที่ได้รับการรับรอง และเป็นบริษัทในเครือของ UK Civil Aviation Authority (UK CAA) เข้ามาร่วมทำงานกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย(กพท.)และส่งผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์เข้ามาช่วยแก้ไขข้อบกพร่องSSC และตรวจสอบสายการบินในกระบวนการออกAOC ใหม่ ซึ่งหลังจากกพท.เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ 12 กันยายน 2559 ซึ่งจะมีสายการบินถูกตรวจสอบทั้ง22 สายการบินนั้น ในส่วนของการตรวจสอบในล็อตแรกล่าสุดสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เป็นสายการบินแรกที่ผ่านการประเมินครบทุก 5 ขั้นตอน
ส่วนอีก 8 สายการบินหลักอื่นๆของไทย ได้แก่ การบินไทย ,ไทยแอร์เอเชีย,เค-ไมลแอร์,โอเรียนท์ไทย,นกแอร์,นกสกู๊ต,ไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ และไทยสมายล์แอร์เวย์ส ยังอยู่ระหว่างการตรวจประเมินรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศใหม่ คาดว่าจะสามารถดำเนินการตรวจสอบให้เสร็จสิ้นทั้ง 8 สายการบินภายในเดือนมิถุนายนนี้
เนื่องจากระยะเวลาที่ใช้ในการตรวจประเมินนั้น จะขึ้นกับขนาดและโครงสร้างขององค์กร จำนวนประเภทของเครื่องบิน และความซับซ้อนในระบบการปฏิบัติงานของแต่ละสายการบิน ซึ่งทั้ง 8 สายการบินได้ผ่านขั้นตอนที่ 3 แล้ว คือ ผ่านการตรวจสอบเอกสารทั้งหมดและกำลังเข้าสู่ขั้นตอนที่ 4 ซึ่งเป็นการตรวจสอบภาคปฏิบัติ โดยผู้ตรวจสอบของกพท.จะลงพื้นที่ดูตรวจประเมินในส่วนของสำนักงานแต่ละสายการบิน รวมถึงศูนย์ซ่อมบำรุงและการปฏิบัติการบิน โดยคาดว่าภายในเดือนมีนาคมนี้ จะมีสายการบินได้รับAOC เพิ่มอีก 2 สาย คือ การบินไทยและไทยแอร์เอเชีย
ทั้งนี้AOC ใหม่ มีอายุ 5 ปี ซึ่งระหว่างที่ได้ใบอนุญาตทางกพท.จะตรวจสอบสายการบินเป็นระยะ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหรือข้อบกพร่องหลังจากได้ใบอนุญาตไปแล้ว อีกทั้งในระหว่างที่มีการยื่นขอให้ICAO มาตรวจ หากสายการบินใดยังไม่ได้AOC ใหม่ ต้องหยุดบินระหว่างประเทศ จนกว่าจะได้รับอนุญาตAOC
รอสนช.ไฟเขียวพ.ร.บ.
นอกจากนี้เมื่อไม่นานมานี้ครม.ยังมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการบินพลเรือน เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปกฎหมาย และเตรียมนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไปเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป โดยจุดหลักของพ.ร.บ.ดังกล่าว มี 2 เรื่องหลัก คือ การแก้ไขปัญหาการบินพลเรือนอย่างยั่งยืน รวมถึงเรื่องของการปลดธงแดง ประกอบด้วย (การปฏิรูปกฎหมาย การปฏิรูปองค์กร) ซึ่งการปฏิรูปองค์กร ได้ดำเนินการแล้วยุบบพ.เดิม แยกมาเป็นกรมท่าอากาศยาน(ทย.)และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย(กพท.) ซึ่งเป็นส่วนของเรกูเลเตอร์ หน่วยกำกับดูแลของการบินพลเรือน
ส่วนการปฏิรูปทางด้านกฎหมายประกอบการกำกับดูแลการบินพลเรือน ได้ยกร่างกฎหมายขึ้นมาใหม่ โดยมี 3 ข้อหลัก คือ 1. ยกเลิก พ.ร.บ.การเดินอากาศ พ.ศ. 2497 แล้วใช้ พ.ร.บ. การบินพลเรือนตามการยกร่างใหม่นี้แทน ซึ่งใช้วิธีการดูจากโครงร่างกฎหมายที่ICAOแนะนำ เพื่อให้มีความครบองค์ประกอบตามกฎหมาย ถือเป็นการรื้อกฎหมายทางเดินอากาศทั้งหมด ซึ่งกฎหมายฉบับใหม่จะมีความสอดคล้องกับข้อบังคับของ ICAO
ข้อที่ 2 คือ กฎหมายฉบับใหม่จะตัดความรุ่มร่าม สาระสำคัญของกฎหมายต่างๆ ซึ่งทั้งหมดมีประมาณ 500 กว่ามาตรา ในขณะนี้เหลือ 338 มาตรา ทำให้กฎหมายมีความกระชับมากขึ้น ในส่วนที่รุ่มร่ามสามารถที่จะออกเป็นกฎหมายลูกแทน อาทิ ประกาศกระทรวง หรือ ข้อกำหนด บังคับต่างๆ ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็วและทันสมัย กับการเปลี่ยนแปลงกติกาของ ICAO
ข้อที่ 3 กฎหมายฉบับนี้ได้แก้ไข ข้อคำถามต่างๆที่การบินพลเรือระหว่างประเทศ ได้ตั้งคำถามกับระบบการกำกับดูแลของการบินพลเรือน โดยในเรื่องของการปลดธงแดงมีทั้งหมด 33 ข้อ ส่วนข้อที่ไม่ได้ติดธงแดงจะเป็นกฎหมายในส่วนนี้ ซึ่งได้ทำและตอบคำถามทั้งหมดแล้ว ฉะนั้นในการตรวจสอบครั้งต่อไปจะไม่มีคำถามเกี่ยวกับเรื่องขององค์กร และเรื่องกฎหมาย
ออกไลเซ้นท์เน้นโปร่งใส
ต่อเรื่องนี้ดร.จุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เผยว่าสาระสำคัญของพ.ร.บ.ใหม่นี้ คือ จะกำหนดวิธีการบริหารงานด้านการบินพลเรือนของประเทศ ในเชิงนโยบายที่คณะกรรมการการบินพลเรือนเป็นคนดู และเรื่องการกำกับดูแลทางเศรษฐกิจ และการออกใบอนุญาตประกอบกิจการต่างๆ ด้วยซึ่งหลักๆจะเป็นการออกใบอนุญาตประกอบกิจการค้าขายการเดินอากาศ(AOL)ที่เดิมจะอยู่ในอำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปลี่ยนฐานอำนาจมาให้คณะกรรมการการบินพลเรือน(กบร.)ทั้งชุดแทนก็ทำให้เกิดความโปร่งใสมากขึ้น
ส่วนการกำกับดูแล จะมีการกำกับดูแลเรื่องของความปลอดภัย อำนาจจะอยู่ที่ ผอ.กพท เนื่องจากว่าความปลอดภัยทางด้านเทคนิคตามมาตรการICAO ซึ่งเป็นสาเหตุที่ออกกฎหมายลูกตาม โดยเรื่องความปลอดภัยจะมีเรื่องของ เครื่องบิน คนที่ทำงานเกี่ยวกับการบิน สนามบิน หรือที่เกี่ยวกับกิจการการบินในความปลอดภัย สามารถใช้กฎหมายนี้ได้ทั้งหมด
นอกจากนี้จะมีเรื่องของซิเคียวริตีหรือการรักษาความปลอดภัย แบ่งเป็น 2 ตัว คือ เซฟตี้ เป็นตัวใช้แก้ไขปัญหาธงแดง และซิเคียวริตีเป็นตัวป้องกันไม่ให้เราโดนธงแดงอีก และมีการทำกฎหมายเพื่อรับรองการตรวจ สามารถจัดการเรื่องซิเคียวริตี้ทั้งหมดในประเทศได้
ทั้งนี้จากการดำเนินการจนถึงขณะนี้ ทำให้กพท. ยังคงเป้าหมายที่จะเชิญICAO เข้ามาตรวจสอบมาตรฐานการบินของไทยอีกครั้ง ภายในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ โดยคาดหวังว่าภายในช่วงไตรมาส 3-4 ปีนี้ไทน่าจะได้รับข่าวดีนั่นเอง
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,240 วันที่ 2 - 4 มีนาคม พ.ศ. 2560