โพลล์ระบุ 48.39% ไม่เห็นด้วยให้ขยายอายุเกษียณไปเป็น 65 ปี

29 ก.ย. 2559 | 05:30 น.
อัปเดตล่าสุด :29 ก.ย. 2559 | 12:17 น.
โพลล์ระบุ 48.39% ไม่เห็นด้วยให้ขยายอายุเกษียณไปเป็น 65 ปี ขณะที่ 55.53% เชื่อว่าต้องเสียงบประมาณมากขึ้น แต่ร้อยละ 58.49 ยอมรับการขยายอายุเกษียณช่วยทำให้มีเงินออมเก็บมากขึ้น

ศ. ดร.ศรีศักดิ์ จามรมาน ประธานกรรมการอาวุโส  สำนักวิจัยสยามเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตโพลล์ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม (ระดับอุดมศึกษา) แถลงผลการสำรวจความคิดเห็นของข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และลูกจ้างสถานประกอบการเอกชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลต่อการขยายอายุเกษียณในการทำงาน ซึ่งได้ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 23 ถึง 28 กันยายน พ.ศ. 2559 จากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 1,149 คนว่า  จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด ซึ่งเป็นลูกจ้างและพนักงานในสถานประกอบการเอกชน ข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ โดยเป็นเพศหญิงร้อยละ 50.74 และเพศชายร้อยละ 49.26 สามารถสรุปผลได้ ดังนี้ ในด้านความรับรู้และความคิดเห็นต่อแนวคิดการขยายอายุเกษียณในการทำงานไปเป็น 65 ปีนั้น กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 74.33 ทราบ/ได้ยินข่าวเกี่ยวกับแนวคิดการขยายอายุเกษียณในการทำงานไปเป็น 65 ปี ขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 25.67 ระบุว่าไม่ทราบ/ไม่ได้ยิน อย่างไรก็ตามกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดเป็นร้อยละ 48.39 ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดการขยายอายุเกษียณในการทำงานไปเป็น 65 ปี ขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 41.6 เห็นด้วย ส่วนกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 10.01 ไม่แน่ใจ

ขณะเดียวกันกลุ่มตัวอย่างมากกว่าครึ่งหนึ่งซึ่งคิดเป็นร้อยละ 55.53 มีความคิดเห็นว่าหากมีการขยายอายุเกษียณในการทำงานไปเป็น 65 ปี จะมีส่วนทำให้หน่วยงานต่างๆต้องใช้งบประมาณมากขึ้น ในทางกลับกันกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 57.62 มีความคิดเห็นว่าหากมีการขยายอายุเกษียณในการทำงานไปเป็น 65 ปี จะมีส่วนช่วยลดปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในหน่วยงานต่างๆได้  นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่างมากกว่าครึ่งหนึ่งซึ่งคิดเป็นร้อยละ 52.22 มีความคิดเห็นว่าหากมีการขยายอายุเกษียณในการทำงานไปเป็น 65 ปี จะไม่มีส่วนทำให้หน่วยงานต่างๆประกาศรับสมัครงานน้อยลง

ขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 58.49 มีความคิดเห็นว่าหากมีการขยายอายุเกษียณในการทำงานไปเป็น 65 ปี จะมีส่วนทำให้ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และลูกจ้างสถานประกอบการเอกชนมีเงินออมเก็บมากขึ้นได้  ส่วนกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 57.35 มีความคิดเห็นว่าหากมีการขยายอายุเกษียณในการทำงานไปเป็น 65 ปี จะมีส่วนช่วยลดโอกาสการเป็นโรคซึมเศร้าของ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และลูกจ้างสถานประกอบการเอกชนหลังเกษียณได้ แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มตัวอย่างมากกว่าสามในสี่หรือคิดเป็นร้อยละ 77.28 เห็นด้วยที่จะคงสวัสดิการให้กับผู้ที่ต้องการเกษียณอายุในการทำงานตอน 55 ปี และ 60 ปี ไว้เช่นเดิม หากมีการขยายอายุเกษียณในการทำงานไปเป็น 65 ปี

และสำหรับความตั้งใจในการเกษียณอายุการทำงานตอนอายุเท่าใดนั้น กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดเป็นร้อยละ 46.74 ตั้งใจจะเกษียณอายุในการทำงานตอน 60 ปี ขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 15.58 และร้อยละ 12.01 ตั้งใจจะเกษียณอายุตอน 65 ปี และ 55 ปีตามลำดับ โดยที่มีกลุ่มตัวอย่างถึงประมาณหนึ่งในสี่หรือคิดเป็นร้อยละ 25.67 ยังไม่แน่ใจ