"เอ็นเตอร์เทนเมนต์ฯ” เส้นทาง (ไม่) ราบรื่น กับภารกิจปลดล็อกกาสิโนไทย

19 ก.ค. 2568 | 10:00 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ก.ค. 2568 | 10:44 น.

โครงการ "เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์" สะดุดลงเมื่อรัฐบาลตัดสินใจถอนร่างก.ม.จากสภา ความสำเร็จของโครงการในอนาคตขึ้นอยู่กับการสร้างความไว้วางใจ และการเรียนรู้กบทเรียนของต่างประเทศ

KEY

POINTS

  • แนวคิด "เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์" ถูกเสนอขึ้นเพื่อแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมายและกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ต้องเผชิญกับความท้าทายจากกฎหมายที่ล้าสมัย และปัญหาการพนันออนไลน์ที่รุนแรงขึ้น
  • แม้ประชาชนส่วนใหญ่จะเห็นด้วยในหลักการ แต่โครงการกลับสะดุดลง เมื่อรัฐบาลตัดสินใจถอนร่างกฎหมายออกจากสภาฯ ในเดือนกรกฎาคม 2568 ท่ามกลางแรงกดดันทางการเมือง และความกังวลของสังคมเกี่ยวกับผลกระทบด้านลบ
  • ความสำเร็จของโครงการในอนาคตขึ้นอยู่กับการสร้าง "ความไว้วางใจ" จากสาธารณชน โดยมีข้อเสนอให้ใช้แนวทางอย่างการทำประชามติ การสร้างกลไกกำกับดูแลที่โปร่งใส และการเรียนรู้จากบทเรียนของต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์

ท่ามกลางการพนันผิดกฎหมาย และ พนันออนไลน์แพร่กระจายไร้การควบคุม แนวคิด “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” กำลังกลายเป็นคำตอบใหม่ของไทย เพื่อเปิดเกมในสนามที่มีกติกา โปร่งใส และควบคุมได้

การก้าวเข้าสู่สังคมดิจิทัลได้นำพา “การพนัน” ไปสู่อีกระดับ ไม่ใช่เพียงเกมวงในบ่อน หรือ หวยใต้ดินอีกต่อไป แต่กลายเป็น “เครือข่ายการพนันออนไลน์” ซึ่งสามารถเข้าถึงใครก็ได้ ทุกที่ ทุกเวลา การพนันจึงแพร่หลายอย่างรวดเร็ว และข้ามพรมแดนได้อย่างเสรี  ไม่ว่าจะเป็นเกมบาคาร่า กาสิโนสด สล็อต หรือ พนันกีฬา ผ่านโทรศัพท์มือถือ และ คอมพิวเตอร์

ความท้าทายกฎหมาย-กฎระเบียบ

 ประเทศไทยยังใช้ พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478 ซึ่งล้าหลัง ไม่ครอบคลุมการพนันออนไลน์ และการบังคับใช้ยังอ่อนแรง ขณะที่รัฐพยายามสั่งปิดเว็บไซต์พนัน เช่น เมื่อปี 2562 มีการสั่งปิด 748 เว็บไซต์ แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง  

ในระดับสากล กฎหมายการพนันออนไลน์มีทั้งแนวห้ามเด็ดขาด (เช่น ซาอุดิอาระเบีย) และ อนุญาตและควบคุม (เช่น อังกฤษ อิตาลี สวีเดน) บางประเทศออกใบอนุญาตหลายราย บางประเทศผูกขาด บางแห่งรัฐดำเนินเอง เพื่อสร้างมาตรฐาน ป้องกันปัญหา และเก็บภาษีได้อย่างเป็นระบบ  

การพนันในไทยเพิ่มขึ้น-รุนแรงขึ้น

จากการสำรวจของศูนย์ศึกษาฯ ประจำปี 2564 พบว่า

• ร้อยละ 59.6 ของคนไทยอายุ 15+ เล่นการพนันอย่างน้อยปีละครั้ง เพิ่มเป็น 32.3 ล้านคน เมื่อเทียบกับปี 2562   

• เยาวชน 15–18 ปี มีนักพนันถึง 29.5% และ 19–25 ปี ถึง 54.6%  

• ล็อตเตอรี่ยังคงนิยมสูงสุด แต่การพนันออนไลน์เติบโต 135.8% ในช่วงเดียวกัน โดยมีผู้เล่นออนไลน์ทั้งปี 2564 จำนวนราว 1.95 ล้านคน  

การพนันได้สร้างปัญหาสุขภาพจิต ปากเสียงในครอบครัว หนี้สิน และรายได้ลดลง ผู้ที่ประเมินตนว่าเป็นนักพนันมีปัญหา (PGSI) อยู่ถึง 3.5 ล้านคน โดยเฉพาะระดับเด็ก เยาวชน และผู้สูงวัย   การบ่งชี้ชัดว่า “การพนันมากขึ้น = ปัญหามากขึ้น” เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

แนวคิดดันเอ็นเตอร์เทนเมนต์ฯ

แนวคิดการจัดตั้ง “Entertainment Complex” ไม่ได้มีแค่เป้าหมายสร้างสถานบันเทิง และแก้ปัญหาการพนันใต้ดิน หากแต่เป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อยกระดับเศรษฐกิจท่องเที่ยวและบริการของไทย ให้สามารถแข่งขันกับศูนย์กลางบันเทิงระดับโลก เช่น สิงคโปร์ มาเก๊า หรือ ดูไบ

รัฐบาลไทยเสนอกรอบแนวทางที่ชัดเจน โดยให้กิจการที่ได้รับใบอนุญาตต้องมีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท และให้สิทธิประกอบการยาวนานถึง 30 ปี (ต่ออายุได้ทุก 10 ปี) โดยกาสิโนจะเป็นเพียง “หนึ่งในองค์ประกอบ” ของคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ที่รวมทั้งโรงแรม ศูนย์ประชุม ห้างสรรพสินค้า ธนาคาร สนามกีฬา และสวนสนุกไว้ในพื้นที่เดียวกัน

และจากผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนในปี 2568 พบว่ากว่า 80% ของผู้เข้าร่วม (จาก 71,000 คน) เห็นด้วยกับการจัดตั้งโครงการ ภายใต้เงื่อนไขว่า รัฐต้องมีกลไกควบคุม ป้องกันผลกระทบทางสังคมอย่างจริงจัง

นโยบายเศรษฐกิจเดินหน้า-สังคมยังลังเล

แม้จะมีแรงหนุนจากภาคเศรษฐกิจ แต่ความท้าทายที่แท้จริงของโครงการนี้คือ “ความเชื่อมั่นของสาธารณชน” โดยเฉพาะต่อคำถามใหญ่ 3 ข้อ คือ

1.จะควบคุมปัญหาการติดการพนันได้จริงหรือ?

แม้ร่างกฎหมายจะมีมาตรการกำหนดคุณสมบัติของคนไทยผู้เข้าเล่น เช่น ต้องมีรายได้ชัดเจน มีประวัติภาษีย้อนหลัง หรือเสียค่าเข้าแพง แต่ก็ยังมีข้อกังขาว่าจะสามารถคัดกรองผู้มีความเสี่ยงได้จริงเพียงใด หรือเพียงแค่สร้าง “กำแพงเบาๆ” ที่ท้ายที่สุดก็ถูกข้ามโดยกลไกตลาดมืด

2. ผลกระทบต่อชุมชนรอบข้างจะได้รับการเยียวยาอย่างไร?

ประสบการณ์จากประเทศอื่นพบว่า การตั้งกาสิโนในบางพื้นที่ อาจนำมาซึ่งปัญหาอาชญากรรม การฟอกเงิน และ การเสื่อมถอยของคุณภาพชีวิตในชุมชน

3. รัฐบาลจะสามารถกำกับดูแลโครงการระดับหมื่นล้านนี้อย่างโปร่งใสหรือไม่?

โครงการขนาดใหญ่มักเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทับซ้อน การวิ่งเต้น และอิทธิพลทางการเมือง ซึ่งประชาชนกังวลว่า หากไร้กลไกตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ โครงการนี้อาจกลายเป็นประตูเปิดสู่การคอร์รัปชันครั้งใหญ่

จังหวะสะดุดเมื่อการเมืองร้อน

แม้รัฐบาลจะพยายามผลักดันร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร เข้าสู่การพิจารณาของสภา ในช่วงต้นปี 2568 แต่สถานการณ์ก็พลิกผันอย่างไม่คาดคิด

ในเดือนกรกฎาคม 2568 คณะรัฐมนตรี ตัดสินใจ “ถอนร่างกฎหมายออกจากการพิจารณาของสภาฯ ท่ามกลางกระแสการเมืองที่ร้อนแรง โดยมีเหตุการณ์ฉาวเกี่ยวกับการสื่อสารของผู้นำรัฐบาล และกระแสต่อต้านในสังคมที่เริ่มทวีความรุนแรง รวมถึงเสียงเรียกร้องให้จัดทำ “ประชามติ” ก่อนเปิดไฟเขียว

แม้รัฐบาลให้เหตุผลว่าเป็นเพียง “การพักการพิจารณาชั่วคราว” เพื่อรอจังหวะที่เหมาะสม แต่ก็สะท้อนความจริงว่า โครงการนี้ยังต้องการ “การยอมรับทางสังคม” มากกว่าความพร้อมเชิงเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว

ทางเลือกใหม่หลังถอนร่างกฎหมาย

การถอนร่างกฎหมายไม่ได้หมายความว่า ความฝันของเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ได้สิ้นสุดลง เพราะทั้งภาคธุรกิจ และนักลงทุนต่างชาติต่างยังจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

สิ่งที่รัฐบาลไทย หรือ ผู้มีอำนาจกำหนดนโยบายในอนาคตควรพิจารณา คือการ “ออกแบบใหม่” ให้โครงการนี้สามารถเดินหน้าได้อย่างยั่งยืน โดยอาจต้องใช้เครื่องมือเหล่านี้ร่วมกัน: 

• ประชามติอย่างเป็นทางการ เพื่อวัดความยินยอมของประชาชน

• จัดทำ Sandbox ทางกฎหมาย ทดลองโครงการขนาดย่อมในพื้นที่เฉพาะก่อนขยายในวงกว้าง

• สร้างกลไกตรวจสอบแบบอิสระ ที่มีอำนาจแท้จริงในการตรวจสอบงบประมาณ ใบอนุญาต และกลไกคัดกรองผู้เล่น

• การเยียวยาสังคมอย่างเป็นระบบ เช่น กองทุนช่วยเหลือผู้ติดพนัน การให้ความรู้ด้านการเงินในโรงเรียน และการสนับสนุนอาชีพทางเลือก

บทเรียนกาสิโนต้องออกแบบให้เหมาะสม

ประเทศที่เคยผ่านการเปลี่ยนผ่านจากการพนันผิดกฎหมายสู่ระบบควบคุมมาแล้ว เช่น สิงคโปร์ มาเก๊า ญี่ปุ่น และ แม้แต่บางรัฐของสหรัฐฯ ล้วนแสดงให้เห็นว่า การออกแบบระบบนโยบายและกฎหมายที่ชัดเจน โปร่งใส และ ตั้งอยู่บนหลัก “ความยินยอมของประชาชน” คือ เงื่อนไขแห่งความสำเร็จ

ตัวอย่างสิงคโปร์ คือ โมเดลที่หลายฝ่ายในไทยให้ความสนใจ โดยใช้ระบบควบคุมแบบสองระดับ (Two-tier regulation) คือ

• จำกัดจำนวนคาสิโนให้มีเพียง 2 แห่ง

•ควบคุมคนท้องถิ่นเข้ากาสิโนด้วยค่าธรรมเนียมสูง (100 SGD ต่อครั้ง)

• มีหน่วยงานกำกับพิเศษ (CRA) ที่แยกจากกระทรวงท่องเที่ยวหรือกระทรวงการคลัง

•กำหนดเป้าหมายให้กาสิโนเป็น “ส่วนหนึ่ง” ของโครงสร้างรีสอร์ต ไม่ใช่จุดขายหลักเพียงอย่างเดียว

หากไทยสามารถนำบทเรียนเหล่านี้มาปรับใช้ได้ ก็อาจสามารถแปลง “ความขัดแย้ง” ให้กลายเป็น “สมดุลใหม่” ระหว่างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ กับความปลอดภัยทางสังคม

การผลักดันให้คาสิโนถูกกฎหมายในนามของเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ คือ หนึ่งในนโยบายที่สะท้อนจุดตัดสำคัญของสังคมไทยในศตวรรษที่ 21

ฝั่งหนึ่งคือ แรงผลักจากความหวังที่จะเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจท่องเที่ยวไทยให้ก้าวหน้าและทันโลก

อีกฝั่งหนึ่ง คือ แรงต้านจากความห่วงใยต่อคุณภาพชีวิต การเสื่อมถอยทางศีลธรรม และความเปราะบางของคนตัวเล็กในระบบทุน

สุดท้ายแล้ว โครงการนี้อาจไม่ถูกตัดสินด้วยตัวเลข GDP หรือรายได้ภาษี แต่จะถูกตัดสินจาก “ความไว้วางใจ” ของประชาชนต่อระบบการเมืองและกฎหมายที่ออกแบบนโยบายนี้ขึ้นมา
หากทำได้  มันจะไม่ใช่แค่กาสิโนที่ถูกกฎหมาย แต่คือ การเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคม ที่สามารถออกแบบอนาคตได้อย่างมีวิจารณญาณและยั่งยืน

แหล่งข้อมูล: Reuters, AP, Thansettakij, Wikipedia, Nation Thailand, AGB, IMGL, Yogonet