ความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา ประเด็นข้อพิพาทดินแดนที่กำลังตึงเครียด ชื่อของ "พัด สุภาภา" หรือ "ลี ยอง พัด" นักธุรกิจใหญ่ชาวกัมพูชาผู้ใกล้ชิด "สมเด็จฮุน เซน" ที่มีอิทธิพลในพื้นที่ชายแดน กลับมาถูกพูดถึงอีกครั้ง หลังจากรัฐบาลไทยสกัดบ่อนการพนันชายแดน เปิดประเด็นปัญหาการค้ามนุษย์และการละเมิดสิทธิมนุษยชนในธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา
การที่ชื่อของเขาถูกเอ่ยถึงไม่ใช่เพียงเพราะเป็น "ราชาแห่งเกาะกง" ที่ครองอิทธิพลในพื้นที่ชายแดนติดไทยเท่านั้น แต่ยังถูกกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรเมื่อเดือนกันยายน 2567 ที่ผ่านมา ฐานข้อหาเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์และการละเมิดสิทธิมนุษยชนในธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจข้ามพรมแดนและการลงทุนของไทยในกัมพูชา
หลายฝ่ายอาจยังไม่ทราบว่าบุคคลผู้นี้คือใคร และมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจการเมืองของกัมพูชา รวมถึงความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชามากเพียงใด
พัด สุภาภา เกิดเมื่อปี 2501 ที่หมู่บ้านทมอซอร์ จังหวัดเกาะกง ในครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีน เขาเติบโตขึ้นมาในยุคสงครามกลางเมืองกัมพูชา และเริ่มสร้างความมั่งคั่งในช่วงปลายทศวรรษ 2523 เมื่อประเทศเริ่มเปิดรับระบบเศรษฐกิจตลาดเสรี
จากเอกสารลับ WikiLeaks ปี 2554 ที่เปิดเผยรายชื่อมหาเศรษฐี 10 อันดับของกัมพูชา อธิบายว่าพัด สุภาภา ได้รับฉายาว่า "ราชาแห่งเกาะกง" เนื่องจากความโดดเด่นในจังหวัดบ้านเกิด ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกัมพูชาติดกับประเทศไทย
"แม้ว่าเขาจะไม่ได้เรียนเกินระดับมัธยมศึกษา แต่พัด สุภาภา สะสมความมั่งคั่งมหาศาลจากการนำเข้าและส่งออกบุหรี่ การผลิตไฟฟ้า และการดำเนินธุรกิจกาสิโนและรีสอร์ท" เอกสาร WikiLeaks ระบุ
ความสำเร็จของ พัด สุภาภา ไม่ได้มาจากความสามารถทางธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ที่แน่นหนาทั้งในกัมพูชาและข้ามพรมแดนไปยังประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอดีตนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน และพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP)
เอกสาร WikiLeaks เผยว่า เขามีความสัมพันธ์ดีกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลทั้งสองฝั่งชายแดนกัมพูชา-ไทย โดยเฉพาะกับเจ้าหน้าที่กัมพูชาเชื้อสายไทย อย่าง รัฐมนตรีกลาโหม ที อ๋า บัญ, ผู้บัญชาการกองทัพเรือ ที วิญ และผู้ว่าราชการจังหวัดเกาะกง ยุทธ ภูทอง นอกจากนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดสีหนุวิลล์ ซาย ฮัค ยังเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาอีกด้วย
ความเป็นพลเมืองคู่กัมพูชา-ไทย ทำให้ พัด สุภาภา สามารถสร้างเครือข่ายธุรกิจข้ามพรมแดนได้อย่างราบรื่น โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนที่จังหวัดเกาะกงติดกับจังหวัดตราด และจังหวัดอุดรมีชัยติดกับจังหวัดสุรินทร์
ในปี 2554 หลังเกิดปัญหากรณีทหารกัมพูชายิง เฮลิคอปเตอร์ของไทย ปรากฎภาพของพัด สุภาภา ในฐานะที่ปรึกษาสมเด็จฮุนเซ็น พร้อมคณะนายทหารฝ่ายกัมพูชาเข้าร่วมประชุมในวันที่ 19 ธันวาคม 2554 เพื่อแก้ปัญหาที่ห้องประชุมศูนย์ราชการ ต.หาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ร่วมฝ่ายไทย
การประชุมใช้เวลารวมทั้งสิ้น 1 ชั่วโมง จึงเปิดแถลงข่าวร่วมกันสรุปว่าปัญหาดังกล่าวจบลงด้วยดี ฝ่ายกัมพูชาแสดง ความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างไทยกัมพูชาได้ปรับความเข้าใจกันแล้วทุก อย่างจะกลับมาเหมือนเดิม โดยถือว่าไทย-กัมพูชาเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องที่จะต้องหันมาร่วมมือกันในการพัฒนาความสัมพันธ์และการค้า การท่องเที่ยวให้ก้าวหน้าต่อไป
ในฐานะวุฒิสมาชิก CPP และที่ปรึกษาของ ฮุน เซน พัด สุภาภา ได้รับการแต่งตั้งให้พัฒนาจังหวัดเกาะกง และยังนั่งในคณะกรรมการกาชาดกัมพูชาที่มีภรรยาของ ฮุน เซน เป็นหัวหน้า เมื่อเดือนธันวาคม 2565 เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของ ฮุน เซน
L.Y.P. Group ภายใต้การบริหารของ พัด สุภาภา และลูกสาว เยาวลักษณ์ สุภาภา ที่ดำรงตำแหน่งรองประธาน ได้พัฒนาเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจใหญ่ที่สุดของกัมพูชา โดยมีการเชื่อมโยงทางธุรกิจกับไทยอย่างแน่นหนา
เยาวลักษณ์ สุภาภา เปิดเผยในสัมภาษณ์ว่า เขตเศรษฐกิจพิเศษเกาะกง บนเนื้อที่ 200 ไร่ ปัจจุบันมีนักลงทุน 5 ราย "ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่มีสำนักงานอยู่ในไทย ได้แก่ บริษัท ฮุนได, เคเคเอ็น, ยาซากิ, ฮานา และมิกาซ่า" โดยเพียงแค่ เคเคเอ็น ก็จ้างงานกว่า 6,000 คน และกำลังขยายโรงงานแห่งที่ 3
นอกจากนี้ ธุรกิจสื่อของ L.Y.P. Group ยังมีความร่วมมือกับประเทศไทยผ่านช่อง PNN ที่มีสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งของประเทศไทยเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจ ทั้งได้ซื้อลิขสิทธิ์ละครบางเรื่องไปออกอากาศในพีเอ็นเอ็นอีกด้วย
ความสำเร็จของ พัด สุภาภา สะท้อนให้เห็นถึงระบบ "ทุนนิยมพวกพ้อง" (Crony Capitalism) ของกัมพูชา ที่การเติบโตของธุรกิจขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้มีอำนาจทางการเมืองมากกว่าการแข่งขันอย่างยุติธรรม
เขาได้รับตำแหน่งเกียรติยศ "ออกญา" ในปี 2543 จากการบริจาคเงินให้รัฐมากกว่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ และต่อมาได้เป็น "เนี๊ยะออกญา" จากการบริจาคหลายล้านดอลลาร์ จนกระทั่งปัจจุบันได้เป็นประธานสมาคมออกญาแห่งกัมพูชา
อำนาจทางการเมืองทำให้เขาได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าถึงที่ดินจำนวนมาก โดยเฉพาะในเกาะกงและกำปงสปือ องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมเคยกล่าวหาว่าเขาใช้อิทธิพลทางการเมืองรุกล้ำอุทยานแห่งชาติโบทูมสกอร์ในจังหวัดเกาะกงกว่าแสนไร่
จาก "รายงานการวิจัยของศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน" เรื่อง เครือข่ายชนชั้นนำทางเศรษฐกิจการเมืองและผลกระทบของบ่อนกาสิโนตามชายแดนไทย-กัมพูชา พบว่า การลงทุนบ่อนกาสิโนตามแนวชายแดน โดยเฉพาะในจังหวัดจันทบุรีและตราด เกิดขึ้นภายใต้เครือข่ายทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ
กรณีศึกษาชัดเจนคือบ่อนกาสิโนเกาะกง ซึ่งเป็นบริการหนึ่งของโรงแรมเกาะกง รีสอร์ท ตั้งอยู่บ้านจามเยี่ยม อำเภอมณฑลสีมา จังหวัดเกาะกง ห่างจากจุดผ่านแดนถาวรคลองใหญ่ประมาณ 800 เมตร ติดกับชายแดนไทยที่บ้านหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด
เจ้าของกิจการคือ "ออกญา ลี ยงพัด" มีชื่อไทยว่า "พัด สุภาภา" หรือ "เสี่ยพัด" เป็นสมาชิกวุฒิสภาและนักธุรกิจชาวกัมพูชาเชื้อสายจีนและไทยเกาะกง เขาเป็นเจ้าของ บริษัท แอลวายพีกรุป (LYP Group) บริษัทขนาดใหญ่ของกัมพูชา โดย "เสี่ยพัด" ครอบครองพื้นที่นับหมื่นไร่ เป็นอาณาจักรทางธุรกิจภายใต้บริษัทกลุ่มลี ซอ
นอกจากบ่อนกาสิโนและโรงแรมแล้ว ยังมีธุรกิจสำคัญอื่นๆ เช่น นิคมอุตสาหกรรม ศูนย์ผลไม้ อาคารพาณิชย์ให้เช่า ถนนส่วนบุคคล และสะพานข้ามแม่น้ำ ที่น่าสนใจคือความเชื่อมโยงระหว่าง "เสี่ยพัด" กับผู้นำระดับสูงของกัมพูชา
งานวิจัยระบุว่า "ฮุน เซน" มีบทบาทในการออกนโยบายอนุญาตให้เปิดบ่อนกาสิโน และถูกระบุว่าเป็น "ลูกพี่" ของ "เสี่ยพัด" ซึ่งถูกนิยามว่าเป็น "กระเป๋าเงิน"
ความสัมพันธ์นี้เกิดขึ้นจากการที่ "เสี่ยพัด" สนับสนุน "ฮุน เซน" ในการแข่งขันทางการเมืองที่จังหวัดเกาะกง จนได้รับชัยชนะ หลังจากนั้น "เสี่ยพัด" ได้รับการแต่งตั้งเป็น "ออกญา ลีย ยงพัด" ซึ่งเป็นเครื่องราชย์สูงสุดของกัมพูชา
จุดเปลี่ยนสำคัญของ พัด สุภาภา เกิดจากการที่เขาดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน ซึ่งรวมถึงกลุ่มทุนสีเทาที่นำธุรกิจคอลเซ็นเตอร์เข้ามาในกัมพูชา
กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า ระหว่างปี 2565-2567 โอเสม็ดรีสอร์ท (O-Smach Resort) ซึ่งเป็นของ L.Y.P. Group ถูกใช้เป็นสถานที่บังคับแรงงานในธุรกิจหลอกลวงออนไลน์
ผู้เคราะห์ร้ายถูกหลอกด้วยโอกาสงานปลอม และเมื่อไปถึงจะถูกยึดโทรศัพท์และหนังสือเดินทาง ถูกบังคับทำงานในขบวนการหลอกลวง ถูกทำร้ายร่างกายด้วยการช็อตไฟฟ้า และถูกบังคับจ่ายค่าไถ่ มีรายงานผู้เคราะห์ร้าย 2 รายกระโดดลงจากอาคารจนเสียชีวิต
ทางการได้บุกทลายและช่วยเหลือผู้เคราะห์ร้ายหลายครั้ง รวมถึงในเดือนตุลาคม 2565 และมีนาคม 2567 โดยสามารถช่วยเหลือเหยื่อจากหลายชาติ ได้แก่ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม
การถูกคว่ำบาตรของ พัด สุภาภา ส่งสัญญาณเตือนสำคัญต่อนักธุรกิจไทยที่มีการลงทุนในกัมพูชา โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจพิเศษที่เขาควบคุม ซึ่งมีบริษัทไทยหลายรายเป็นผู้ลงทุนหลัก
การคว่ำบาตรของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 ภายใต้ Global Magnitsky Act มีผลต่อ พัด สุภาภา, L.Y.P. Group และโรงแรมในเครือ 4 แห่ง คือ O-Smach Resort, Garden City Hotel, Koh Kong Resort และ Phnom Penh Hotel
การคว่ำบาตรทำให้ทรัพย์สินของเขาในสหรัฐฯ (หากมี) อาจถูกอายัด และอาจส่งผลต่อการทำธุรกิจระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการทำธุรกรรมทางการเงินกับธนาคารที่มีการเชื่อมต่อกับระบบการเงินสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตามกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 14 กันยายน ปกป้อง พัด สุภาภา ว่าเขามี "บทบาทในการขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของกัมพูชาตลอดหลายทศวรรษ" และกล่าวหาว่าสหรัฐฯ ได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง
นี่คือเรื่องราวของ พัด สุภาภา สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะของระบบเศรษฐกิจการเมืองกัมพูชา ที่ความสำเร็จทางธุรกิจผูกพันอย่างแน่นหนากับอำนาจทางการเมือง และการสร้างเครือข่ายข้ามพรมแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศไทย