‘สะกิดใจ’อย่างไร ให้ประเทศไทยสูงวัยอย่างทรงพลัง

23 ต.ค. 2565 | 00:00 น.

‘สะกิดใจ’อย่างไร ให้ประเทศไทยสูงวัยอย่างทรงพลัง : บทความ โดย...ผศ.ดร.ปิยะชาติ ภิรมย์สวัสดิ์, ศ.ดร.พัชราวลัย วงศ์บุญสิน และ ศ.ดร.เกื้อ วงศ์บุญสิน หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,829 หน้า 5 วันที่ 23 - 26 ตุลาคม 2565

โดยปกติแล้วคนทั่วไปมักจะมองว่า การก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยเป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นสิ่งที่จะสร้างผลกระทบเชิงลบต่อประเทศ ประเทศจะมีผู้สูงวัยจำนวนมาก ซึ่งผู้สูงวัยเหล่านี้ส่วนใหญ่จะไม่มีรายได้เพราะอายุเกินที่จะทำงาน มีสุขภาพที่ไม่ดี เต็มไปด้วยค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในด้านการรักษาพยาบาล เป็นการเอาเงินเก็บ (ถ้ามี) ไปให้หมอ

 

แต่ผู้เขียนเชื่อว่า อนาคตของการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยของประเทศไทยสามารถสดใสได้มากกว่านี้ และไม่แน่ การก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยของประเทศไทยอาจเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศก็เป็นได้ ในบทความนี้ผู้เขียนขอนำเสนอแนวคิดใหม่ 2 แนวคิด ซึ่งหากนำ 2 แนวคิดนี้มารวมกัน ผู้เขียนเชื่อว่าสิ่งนี้จะเป็นสิ่งสำคัญที่จะ “สะกิดใจ” ให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างทรงพลัง

 

 

แนวคิดที่ 1: การปันผลทางประชากรระยะที่สาม (The Third Demographic Dividend)

 

การปันผลทางประชากรระยะที่สาม เป็นแนวคิดใหม่ที่องค์การสหประชาชาตินำเสนอขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้ และเป็นแนวคิดสำคัญสำหรับการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่สังคมสูงวัย ถ้าเรามองการเข้าสู่สังคมสูงวัยในอีกมุมหนึ่ง โดยในมุมนี้เมื่อประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยในระยะสูงสุด ประเทศจะมีผู้สูงวัยเป็นจำนวนมาก และผู้สูงวัยเหล่านี้จะมีจำนวนมากกว่าหนึ่งในสามของจำนวนประชากรในประเทศ

 

หากเราเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนมุมมองไปจากเดิม โดยมองว่าผู้สูงวัยสามารถเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าให้กับประเทศ และอาจเป็นทรัพยากรหลักที่ขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศได้ ผู้สูงวัยสามารถเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าของประเทศได้ด้วยสาเหตุ 3 ประการ

 

 

‘สะกิดใจ’อย่างไร ให้ประเทศไทยสูงวัยอย่างทรงพลัง

 

 

ประการแรก มีอาชีพจำนวนไม่น้อยที่ผู้ประกอบอาชีพจะมีทักษะเพิ่มขึ้นตามอายุ ตัวอย่างที่สำคัญเช่น อาชีพที่เน้นทักษะด้านการสื่อสาร อาทิ ครู อาจารย์ นักขาย นักกฎหมาย และผู้จัดการ ดังนั้น ถ้าผู้สูงวัยจำนวนหนึ่งที่ประกอบอาชีพเหล่านี้อยู่แล้ว สามารถประกอบอาชีพเหล่านี้ต่อไปได้

 

หรือผู้สูงวัยในอาชีพอื่นสามารถได้รับการพัฒนาทักษะใหม่ (New Skills) และประกอบอาชีพที่ทักษะเพิ่มขึ้นตามอายุ จำนวนและผลิตภาพแรงงานในประเทศอาจจะเพิ่มขึ้น (หรือไม่ลดลงอย่างรุนแรง) และเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศได้

 

ประการที่สอง แม้ว่าเป็นความจริงที่ต้องยอมรับว่าบางอาชีพ โดยเฉพาะอาชีพที่เน้นการใช้ร่างกาย ความจำ หรือ ความรวดเร็วในการทำงาน อาชีพเหล่านี้เป็นอาชีพที่ทักษะจะลดลงตามอายุ แต่ทว่าในปัจจุบันการพัฒนาทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีอุบัติใหม่ (Emerging Technologies) หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เทคโนโลยีการควบคุมหุ่นยนต์จากระยะไกล หรือเทคโนโลยีโลกเสมือน (Virtual Reality) ต่างก็เป็นเทคโนโลยีที่สามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ และทำให้ผู้ประกอบอาชีพที่ทักษะอาจเคยลดลงตามอายุ มีทักษะที่เท่าเดิมหรือมากกว่าเดิมก็เป็นได้

 

ดังนั้น ถ้าผู้สูงวัยที่ประกอบอาชีพที่ทักษะลดลงตามอายุ สามารถได้รับการพัฒนาทักษะใหม่ (New Skills) ในด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอุบัติใหม่ที่กล่าวไปข้างต้น จำนวนและผลิตภาพแรงงานในประเทศอาจเพิ่มขึ้น (หรือไม่ลดลงอย่างรุนแรง) และเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศได้

 

ประการที่สาม ผู้สูงวัยเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ มีความรู้ และมีเวลา จึงสามารถมีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหาทางสังคมด้วยการเข้าร่วมเป็นจิตอาสาในโครงการต่างๆ ในด้านที่ผู้สูงวัยแต่ละคนมีประสบการณ์และมีความรู้ ไม่ว่าจะเป็นโครงการสอนหนังสือให้กับผู้ยากไร้หรือผู้พิการ โครงการด้านการพัฒนาและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม โครงการช่วยเหลือสัตว์ที่พิการ หรือโครงการด้านศาสนาและวัฒนธรรม

 

แนวคิดที่ 2: การ “สะกิดใจ” ให้คนไทยเป็นผู้สูงวัยที่มีสุขภาพดี (Nudging for Healthy Aging)

 

การปันผลทางประชากรระยะที่สามที่กล่าวไปข้างต้น จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าคนไทยเป็นผู้สูงวัยที่สุขภาพไม่ดี ดังนั้น การเตรียมพร้อมให้คนไทยเป็นผู้สูงวัยที่มีสุขภาพดีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แต่การเตรียมพร้อมให้คนไทยเป็นผู้สูงวัยที่มีสุขภาพดีเป็นเรื่องที่ “พูดง่าย แต่ทำยาก”

 

โดยทั่วไปเรามักจะคิดว่าการส่งเสริมให้คนในครอบครัว คนในองค์กร หรือ ประชาชนในประเทศมีสุขภาพที่ดี สิ่งแรก สิ่งเดียว และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องทำคือ การให้ข้อมูล ให้ความรู้ว่าควรมีพฤติกรรมอย่างไรเพื่อให้มีสุขภาพดี เช่น ให้คำแนะนำว่าควรทานอาหารอย่างไร ควรออกกำลังกายอย่างไร หรือควรป้องกันโรคต่างๆ อย่างไรเป็นต้น

 

แน่นอนว่าคำแนะนำเหล่านี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งส่วนมากจะอ้างอิงมาจากการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ที่ถูกพิสูจน์และเป็นที่ยอมรับแล้วว่า มีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ในความเป็นจริง ผู้คนจำนวนมากที่ไม่ทำ หรือไม่สามารถทำตามคำแนะนำเหล่านี้ได้ “ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว” ว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพของตนเองในปัจจุบันและในอนาคต

 

ในแนวคิดที่สองนี้ ผู้เขียนเชื่อว่า เราสามารถเพิ่มทางเลือกเพิ่มเติมจากจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเพื่อเตรียมความพร้อมให้คนไทยเป็นผู้สูงวัยที่มีสุขภาพดี งานวิจัยจำนวนมากในเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม (Behavioral Economics) พบว่า การให้ข้อมูลเพียงอย่างเดียวเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพค่อนข้างน้อย เพราะคนส่วนมากติดกับดัก หรือ อุปสรรคทางความคิด (Cognitive Biases)

 

ผู้เขียนเชื่อว่า วิธีการที่เหมาะสมคือ การใช้การ “สะกิดใจ” (Nudging) ที่เป็นแนว คิดที่ถูกบุกเบิกโดย ศาสตราจารย์ ริชาร์ด เทลเลอร์ ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลในสาขาเศรษศาสตร์ ในปี ค.ศ. 2017 มาปรับใช้ ตัวอย่างเช่น คนจำนวนมากมักจะสั่งอาหารเวลาหิว ซึ่งจะทำให้สั่งอาหารเป็นจำนวนมาก สั่งอาหารที่เน้นความอร่อยโดยลืมความสำคัญทางโภชนาการ หรือด้านสุขภาพไปโดยสิ้นเชิง (เพราะกำลังหิว)

 

อย่างไรก็ดี งานวิจัยทางเศรษศาสตร์พฤติกรรมหลายชิ้นพบว่า ถ้าเราสั่งอาหาร “ล่วงหน้า” (ตอนไม่หิว) จะสามารถทำให้เราสั่ง อาหารในปริมาณที่พอดี และให้ความสำคัญทางโภชนาการ หรือ ด้านสุขภาพ ในอาหารที่เราจะสั่งได้มากขึ้น

 

ดังนั้น ถ้าภาครัฐ ร่วมมือกับ แอพ พลิเคชั่นสั่งอาหารชั้นนำที่คนใช้เป็นจำนวน มากอยู่แล้ว ให้คูปองส่วนลด หรือ คะแนนสะสมในกรณีที่ผู้ใช้สั่งอาหารล่วงหน้า หรือสั่งอาหารที่ดีต่อสุขภาพเป็นการสะกิดใจ อาจเป็นการลงทุนที่มีคุณค่าและคุ้มค่าต่อประเทศในอนาคต

 

อีกตัวอย่างหนึ่งเช่น คนจำนวนมากมีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้ตัวเองมีสุขภาพดีขึ้น โดยการสัญญากับตัวเองในวันปีใหม่ว่า ปีนี้จะลดนํ้าหนักให้ได้ หรือจะออกกำลังกายให้ได้อาทิตย์ละ 3 ครั้ง แต่ทว่างานวิจัยทางเศรษศาสตร์พฤติกรรมหลายชิ้นพบว่า คนจำนวนมากกลับทำไม่สำเร็จ

 

โดยงานวิจัยพบว่า สิ่งที่สำคัญในการเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ใช่เพียงแค่ความตั้งใจ หรือ การสัญญากับตัวเองเท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ การมีแผนที่จะรับมือกับอุปสรรคต่างๆ ที่จะขัดขวางการทำให้สำเร็จ เช่น ถ้าตั้งใจว่าจะลดนํ้าหนักแต่เพื่อนที่ทำงานชวนไปทานบุฟเฟต์ เราจะรับมือกับอุปสรรคเช่นนี้อย่างไร

 

เราอาจไม่ไปเพราะเราสั่งอาหารมาทานล่วงหน้าแล้ว หรือถ้าจำเป็นต้องไปเราจะรับมืออย่างไร สิ่งที่สำคัญคือ เราไม่ควรจัดการกับอุปสรรค “ในขณะที่กำลังเผชิญกับอุปสรรค” แต่เราควรมีแผนในการจัดการกับอุปสรรค ที่คาดเดาได้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่า จะเกิดขึ้น เพราะเราจะรับมือกับอุปสรรคเหล่านี้ได้ดีกว่า

 

โดยสรุป การก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยของประเทศไทยสามารถเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศได้ แต่การที่ประเทศจะได้รับประโยชน์ที่ถูกเรียกว่า การปันผลทางประชากรระยะที่สามนี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าคนไทยเป็นผู้สูงวัยที่สุขภาพไม่ดี แต่การเตรียมพร้อมให้คนไทยเป็นผู้สูงวัยที่มีสุขภาพดี เป็นสิ่งที่ “พูดง่าย แต่ทำยาก” การให้ข้อมูลเพียงอย่างเดียวเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพค่อนข้างน้อย เพราะการให้ข้อมูลเพียงอย่างเดียวไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุของปัญหา

 

ในทางกลับกันแนวคิดจากเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม สามารถนำมาปรับใช้ เพราะเป็นแนวคิดที่เชื่อว่า การเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์ต้องอาศัยการเข้าใจ “ธรรมชาติ” ที่แท้จริงของการตัดสินใจของมนุษย์ และอาศัยธรรมชาตินี้ในการเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์ “อย่างเป็นธรรมชาติ”

 

*บทความนี้ถูกเขียนขึ้นจากองค์ความรู้ในหนังสือเรื่อง “การปันผลทางประชากรระยะที่ 3 ของประเทศไทย: โอกาสจากสังคมสูงวัยที่สร้างได้ด้วยเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม” ของ ผศ.ดร.ปิยะชาติ ภิรมย์สวัสดิ์ ศ.ดร.พัชราวลัย วงศ์บุญสิน และ ศ.ดร.เกื้อ วงศ์บุญสิน ที่อยู่ระหว่างการจัดพิมพ์*

 

โดย...ผศ.ดร.ปิยะชาติ ภิรมย์สวัสดิ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการเงิน สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ศ.ดร.พัชราวลัย วงศ์บุญสิน อดีตอาจารย์วิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ศ.ดร.เกื้อ วงศ์บุญสิน อดีตอาจารย์วิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาฯ และสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ฯ