ทั้งระยะใกล้และไกลว่าจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร เพื่อให้ทุกคนที่อยู่ในสถานะต่าง ๆ ได้เตรียมตัว เตรียมใจกับการเปลี่ยนแปลงของบริบทที่คาดว่าจะมาถึงนั้นได้ แต่ปรัชญา ความรู้ที่มนุษย์สะสมมาเพื่อสร้างวิธีวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงนั้นได้สูญหาย มลายไปสิ้น เพราะในช่วงสามเดือนกว่า ๆ นับตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ามารับตำแหน่งโลกก็ได้เปลี่ยนแปลงอย่างถล่มทลายแบบไม่เคยเจอมาก่อน
มาตรการที่ออกมาแต่ละอย่าง อธิบายเหตุผลที่เคยเข้าใจเดิม ๆนั้น แทบจะใช้ไม่ได้เลย แถมไม่พอยังไม่มีความแน่นอนอีกด้วยเพราะนึกจะออกมาตรการอะไรก็ออก และอยากจะหยุดอะไรก็หยุดโดยไม่สนใจกฎกติกาใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นกฎที่ทุกประเทศในโลกยึดถือและใช้กันมานานเกือบร้อยปี
และสหรัฐฯ ก็เป็นตัวตั้งตัวตีในการสร้างขึ้นมาอีกด้วย และแม้แต่คำสั่งศาลในประเทศตนเองยังเล่นลิ้นที่จะไม่ปฏิบัติตาม ทำให้วันนี้ทุกคนในโลกสงสัยว่า เขาคือ “บ้าหรืออัจฉริยะ” กันแน่
ถ้าดูจากสื่อต่าง ๆ ทั่วโลกแล้ว พอจะจับกระแสได้ไม่ยากว่ามีมุมมองต่อพฤติกรรมของประธานาธิบดีทรัมป์เอนเอียงไปในทางจะเป็น “คนบ้า” มากกว่า แต่เพื่อความเป็นธรรมกับพ่อใหญ่ทรัมป์ ตนวิเคราะห์ด้านตรงข้ามดูว่า เรื่องราวทั้งหมดนี้คือ “กลยุทธ์ขั้นสุดยอดของสุดยอดอัจฉริยะ”
1. Tariff: ขึ้นภาษีศุลกากรทั่วหน้า ไม่ว่ามิตรหรือศัตรูแบบอัตราสูงเว่อร์พร้อมเหตุผลที่ทั้งโลกงงๆ และสร้างสึนามิทางเศรษฐกิจให้ปั่นป่วนทั้งโลก เพื่อไม่ให้มีที่หลบภัยสำหรับใครทั้งสิ้น
ซึ่งจะทำให้ทุกคนต้องวิ่งเข้าหาสหรัฐฯ เพราะถ้ายกเว้นมิตรไว้ ประเทศที่โดนขึ้นภาษีก็จะวิ่งไปหามิตรประเทศของเรา ทำให้อำนาจการเจรจาของเราลดลงไป
ส่วนอัตราภาษีศุลกากรที่สูงเว่อร์นั้นก็เป็นการบอกเกินเผื่อต่อ เพื่อให้การเจรจาดูดีและมีทางเล่นเยอะ เพราะถ้าตกลงได้ เราก็ลดลงได้เยอะ แต่ก็ยังคงสูงอยู่หรือเท่าเดิมเหมือนก่อนประกาศขึ้น แต่เราได้จากคู่เจรจา เรื่องนี้ถ้าใครเคยต่อรองราคาในตลาดจะรู้ดีว่าพ่อค้าแม่ค้าจะรู้ว่าเราต้องต่อราคาแน่ ๆ และคนซื้อมีราคาเป้าหมายในใจ เช่นคนซื้อตั้งใจจ่าย (willingness to pay) ที่ 20 บาท
ดังนั้น ต้องต่อราคาต่ำกว่า 20 บาท เพื่อให้ตนเองมี Surplus แต่ถ้าคนขายรู้คร่าวๆ ว่าคนซื้อจะจ่ายเต็มที่ได้เท่าไร เขาก็อยากได้ทั้งหมด ในกรณีนี้คนขายก็อยากได้ทั้งหมด 20 บาทจากคนซื้อ พอคนซื้อถามราคา คนขายก็จะตั้งราคาสูงปรี๊ดมากกว่า 20 บาทแบบสุด ๆ พอคนซื้อได้ยินราคาสูงมาก ก็ตกใจเพราะเกินความเต็มใจที่จ่าย
และในสมองก็วิ่งหาราคาเต็มใจที่จะจ่าย คือ 20 บาทลืมราคาที่จะต่อ คือต่ำกว่า 20 บาท และการเจรจาจบลงที่คนขายได้ราคาสูงสุดตามที่คนซื้อจะยอมจ่ายได้ คือ 20 บาท และเราก็ดูเป็นคนใจดีที่ลดราคาให้เยอะด้วย
2. Look Tough: สร้างภาพลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองที่สาธารณชนรับรู้มานานตั้งแต่เป็นพิธีกรรายการทีวีดังเกี่ยวกับการวางแผนธุรกิจ The Apprentice ที่ตนเองดูปากจัด พูดตรงไปตรงมา ขี้โวย และด่าลุยทุกคนที่เห็นต่างตนเอง เพื่อเบี่ยงประเด็นที่อ่อนไหวและอธิบายไม่ได้ หรือมีประเด็นที่อ่อนไหวทางการเมืองหรือส่วนตัว ดังนั้น ตอนนี้พอนักข่าวช่องที่ชอบถามคำถามที่ไม่ดีวิจารณ์ หรือท้าทายกับประเด็นมาตรการหรือส่วนตัว
ทรัมป์ก็จะด่าและด้อยค่าก่อนเลย เพื่อให้คำถามนั้นขาดน้ำหนักและความน่าเชื่อถือของคนถามลดลงในสายตาของสาธารณะ และพฤติกรรมดุดันแบบนี้ตรงกับความรู้สึกของแฟนพันธุ์แท้ของทรัมป์ที่มองว่าสหรัฐฯ ต้องเป็นแบบนี้ ที่สามารถขู่ใครได้ทั้งโลก และคนอื่นจะต้องไม่กล้าหือด้วย เรียกว่าแบบนี้ถูกใจพ่อยกแม่ยกทั้งหลายที่พร้อมลุยไฟและเคยบุกรัฐสภาให้พ่อใหญ่มาแล้วด้วย
3. Being Inscrutable: สร้างภาพและเรื่องราวที่ผู้คนคาดเดาพฤติกรรมและความคิดได้ยาก จะช่วยทำให้การวางกลยุทธ์ในการเจรจาต่าง ๆ ได้เปรียบคู่เจรจา และทำให้คู่แข่งมีความยุ่งยากในการเตรียมการเจรจา รวมทั้งประเทศต่าง ๆ ต้องระมัดระวัง คิดแล้วคิดอีก ในการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ที่อาจไม่ถูกใจสหรัฐฯ ซึ่งจะแสดงถึงอิทธิพลของสหรัฐฯ ต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศของประเทศต่าง ๆ
นอกจากนี้ ในส่วนการทำนโยบายเศรษฐกิจต่าง ๆ ภายในประเทศ รูปแบบที่ไม่มี Patterns ทำให้ตลาด โดยเฉพาะตลาดทุนและหุ้นหรือหน่วยเศรษฐกิจต่าง ๆไม่สามารถ form พฤติกรรมตามแนวคิด Rational Expectation เพื่อคาดเดาแนวนโยบายได้ดี ซึ่งจะส่งผลให้นโยบายนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น
4. Be Controversial: สร้างประเด็นของการถกเถียงอย่างต่อเนื่อง แต่ตนเองต้องสร้างทีมงานในแต่ละเรื่องทำหน้าที่เป็นกันชนในทุกเรื่อง พร้อมส่งสัญญานถึงความต้องการของตนเอง เพื่อให้ผู้คน และทีมงานที่อยากได้ผลงานต้องรีบหาทางออกให้ทรัมป์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น และเรื่องราวที่จะทำต่อไปนั้นก็ยากจะเดาในบริบทและกรอบแนวคิดเดิม ๆ ได้ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่จะมีเรื่องใหม่ ๆ ออกมาไม่หยุด และคนจัดการและเถียงแทนทุกเรื่อง และทุกเรื่องจบตามที่ทรัมป์อยากได้ ไม่ว่าจะส่งคนอเมริกันเข้าคุกในต่างแดนและส่งกลับไม่ได้ แม้ศาลจะสั่งแล้วก็ตาม
การเจรจาทางการทูตที่ live สด
และมีรองประธานาธิบดี หรือทีมงานเถียงผู้นำประเทศอื่นแทนผู้นำตัวเอง หรือการขึ้นภาษีแบบสุดโต่ง แต่ก็มีคนระดับศาสตราจารย์ทางเศรษฐศาสตร์ที่เป็นรัฐมนตรีออกมาอธิบายทางวิชาการแบบเอาเป็นเอาตายแทนทรัมป์ แม้ว่าลูกศิษย์ลูกหาจะก้มหน้าอายแทนก็ตาม แต่ทั้งหมดนี้ทำให้ทรัมป์ไม่เคยพลาดท่าในเรื่องใดและได้ทุกอย่างที่ตนเองอยากทำ แม้เป็นเรื่องที่ประธานาธิบดีคนอื่น ๆ อยากทำแต่ไม่กล้าทำ ทำให้พลาดโอกาสทั้งทางการเมือง สะใจส่วนตัว หรือผลประโยชน์ส่วนรวมไป
5. Effective self – Promotional: เพื่อโปรโมท หรือปั่นกระแสความนิยมตนเองจากสาธารณะ หรือจากกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้นประธานาธิบดีคนนี้จะทำตัวเป็นนักข่าว หรือคนทำ Intelligence Operation หรือ IO ให้กับตัวเองมากที่สุดในประวัติศาสตร์ เขาเขียนตามที่ตนเองต้องการ ไม่ว่าจะด่าสื่อที่อยู่ตรงข้าม ด้อยค่าคู่แข่งหรือคนเห็นต่าง ชมตัวเอง และแถมไม่พอยังออกมาตรการสำคัญต่าง ๆ ทั้งหมดผ่านโซเซียลมีเดียแบบชิลๆ โดยไม่ง้อสื่อกระแสหลักแต่ประการใด โดยการตั้งแพลตฟอร์มชื่อ Truth Social เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้ตัวเอง ซึ่งตั้งมาตั้งแต่ปี 2022 ผ่านบริษัทของตัวเองชื่อ Trump Media & Technology Group (TMTG) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ตั้งขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยง
ข้อความสื่อสารของตนเองจะโดนแบนบนแพลตฟอร์มอื่น ๆ เหมือนที่เคยโดนมาแล้วทั้ง Facebook หรือ Twitter หรือ X ในปัจจุบัน
ซึ่งแพลตฟอร์มที่ทรัมป์ใช้นี้มีความอิสระเต็มที่ในการเสนอข้อความแบบชวนเชื่อเพื่อสร้างอิทธิพลทางความคิดให้คนอื่น ๆ ได้มากกว่าแพลตฟอร์มอื่น ๆ มีการกลั่นกรองข้อมูลน้อยกว่า เรียกว่าลุยได้เต็มที่ คนอ่านเลือกจะเชื่อเอาเองก็แล้วกัน และตอนนี้มีคนใช้กว่า 7 ล้านบัญชี และเป็นช่องทางหลักที่ทรัมป์ใช้ประกาศนโยบายสำคัญ ๆ ของตนเอง รวมทั้ง ตอนประกาศขึ้นภาษีศุลกากร และการลด ชะลอ หรือส่งสัญญานต่าง ๆ ที่หลายคนบอกว่าเหมือนกับส่งข้อมูลซื้อขายหุ้น ทำให้ถูกใจผู้ติดตามมาก
ตนพยายามมองอีกด้านของเหรียญว่าคนมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ถึงสองสมัยคงมีอะไรที่จะได้เรียนรู้บ้าง ไม่ว่าแท้จริงแล้ว เขาจะดี จะเลว เห็นแก่ตัว บ้าอำนาจ หรือรักชาติ หรือจะอะไรก็แล้วแต่ เราน่าจะเรียนรู้ได้บ้าง เพื่อเลือกที่จะทำตาม หรือเอาไว้ยับยั้งชั่งใจ