KEY
POINTS
ปรกติผมมีการจัดพอร์ต Store of Value ซื้อสะสมใน ทองคำ Bitcoin สม่ำเสมอมาหลายปีแล้ว จึงได้สร้างขึ้นมาอีกพอร์ตคือ หุ้นปันผลและ ETF ในอเมริกา โดยทำการเลือกสินทรัพย์ที่มีศักยภาพในการสร้างกระแสเงินสดทุกเดือน (Passive Income)โดยที่เราแค่นั่งเฉยๆ
พอร์ต Passive มีสัดส่วน 50% ในหุ้นที่มีกิจการจริง จ่ายปันผลทุกเดือนและทุก 3 เดือน กราฟราคาไม่เป็นขาลง พื้นฐานแข็งแกร่ง โดยดูจาก...
หุ้นบางตัวได้รับสิทธิประโยชน์จากนโยบายสหรัฐฯ หุ้นบางตัวเป็นหุ้นเติบโต Uptrend Stock และมีหุ้นอิ่มตัวแต่กระแสเงินสดล้นเหลือทำให้จ่ายปันผลได้มาก
ในส่วน 50% หลัง จะเป็นกองทุน หรือ ETF ในสินทรัพย์ที่ภาพใหญ่เป็นขาขึ้นมาตลอดไม่เคยเป็นขาลง เช่น S&P, Nasdaq, ทองคำ และ Bitcoin ซึ่ง 25% จะใช้กอง ETF ปรกติที่ไม่มี Leverage หรือไปเทรด Option
(ยกตัวอย่างกองที่ คุณปู่ Warren Buffet แนะนำว่า ถ้าหากไม่มีเวลา หรือเทรดหุ้นไม่เป็น ให้ซื้อกองนี้อย่างสม่ำเสมอ ก็สามารถชนะคนส่วนใหญ่ที่ทำผลตอบแทนแพ้ดัชนีได้แล้ว) อีก 25% จะใช้กองที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นมา ประเภท High Dividend Yield
โดยทั้งหมดจะใช้ Algorithm ประมวลผลสถิติและผลงานย้อนหลังอีกครั้ง บาล้านซ์การควบคุมความเสี่ยงและการเติบโตให้สอดคล้องกับตัวเราเองแต่จะไม่ใช้กอง Max Yield ที่อ้างอิงหุ้นรายตัว เพราะจุดประสงค์ของพอร์ตนี้คือ ลงทุนสินทรัพย์ที่มีศักยภาพฯ ในตัวมันเอง
กองที่มีการจ่ายปันผล สูงระดับ 100 - 200% ราคา(NAV) จะวิ่งเข้าหา 0 เสมอ เพราะว่า จริงๆ แล้ว คือเงินที่จ่ายให้เราทุกเดือน คือผลตอบแทน + คืนเงินต้น ไม่ใช่ Yield จริงๆ ทั้งหมด ซึ่งบางคนคิดว่าคือปันผล 100-200% (มีเคสที่เคยเห็นคือ เพิ่มทุน 100% ทำให้สินทรัพย์เรามูลค่าหายไป 50% ทันที)
"ผลตอบแทนที่สูงเกินจริง มาพร้อมความเสี่ยงระดับสูงสุดเสมอ"
"รู้เรื่องนี้เมื่อ 10 ปีที่แล้วป่านนี้รวยไปแล้ว" คือ การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีศักยภาพ 3 ด้าน อันเป็นหัวใจหลักในการลงทุนของผม ที่นำมาสอนส่งต่อให้สมาชิก หนึ่งในสาม คือ พอร์ตหุ้นเติบโต ที่ทำผลงานได้เกินเป้าหมายทั้งตัวผมเองและนักเรียน ที่โตทั้งพอร์ตเกิน 100%
ส่วนในภาพประกอบนี้คือ พอร์ต Passive ที่ไม่ได้ต้องการกำไรจาก Capital Gain แค่ไม่ขาดทุนเงินต้นก็พอ และรอรับปันผลทุกเดือน Yield เฉลี่ย 10-20%
ผมมีการจัดชุดหุ้นและ ETF เพื่อกระจายความเสี่ยง ให้นักเรียนเลือกเอาตามความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ โดยต้องมีความเข้าใจ และไม่ให้สักแต่ซื้อตาม เพราะถ้าไม่เข้าใจและเห็นภาพเป้าหมาย คุณจะทำตามได้ไม่นาน ไม่สม่ำเสมอ และขบวนการดอกเบี้ยทบต้นจะไม่เกิดขึ้น