อนุทิน...ชาตินิยมแล้วเป็นยังไง ใครได้ใครเสีย

19 พ.ย. 2568 | 06:49 น.
อัปเดตล่าสุด :19 พ.ย. 2568 | 06:57 น.

อนุทิน...ชาตินิยมแล้วเป็นยังไง ใครได้ใครเสีย! : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์

KEY

POINTS

  • การระงับปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา ฝ่ายที่ได้ประโยชน์ คือ กลุ่มการเมืองของ นายอนุทิน และ พรรคภูมิใจไทย ที่ถูกมองว่า ใช้กระแสชาตินิยมเพื่อสร้างคะแนนนิยมก่อนการเลือกตั้ง
  • กลุ่มธุรกิจบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นผู้เสียประโยชน์โดยตรง จากการปิดด่านที่ทำให้มูลค่าการค้าและการบริการลดลงอย่างมหาศาล
  • บริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ได้รับผลกระทบทางธุรกิจ อาทิ กลุ่ม ปตท., ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) และโดยเฉพาะคาราบาวกรุ๊ป (CBG) ที่มีสัดส่วนยอดขายในกัมพูชาสูง

*** หลังจากที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ประกาศระงับ “ปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา” จากเหตุบนภูมะเขือ มีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดจนขาขาด เป็นรายที่ 7 ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา อาจใช้มาตรการทางภาษีกดดันไทยให้กลับสู่เวทีเจรจา จนต่อมา นายอนุทิน ยังเติมเชื้อไฟเข้าไปอีกโดยระบุว่า “ขายประเทศนี้ไม่ได้ ก็ต้องขายประเทศอื่น เราจะเอาชีวิตฝากไว้ประเทศเดียวไม่ได้”  

ก่อนที่ผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ ได้แจ้งว่า สหรัฐฯ ขอระงับการเจรจา "กรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทน" ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ เป็นการชั่วคราว...คล้ายจะเป็นการตอบสนองกรณีของการใช้มาตรการทางภาษีกดดันไทยให้กลับสู่เวทีเจรจาอีกครั้ง 

แต่แล้วสถานการณ์ก็เปลี่ยน เพราะยังไม่ข้ามวัน นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน โทรศัพท์มาถึงนายอนุทิน โดยระบุว่า ‘ทรัมป์’ ได้ฝากมาบอกว่า สหรัฐจะไม่นำประเด็นการระงับปฏิญญาของไทย มาเกี่ยวข้องกับการเจรจาภาษีการค้าระหว่างไทยและสหรัฐ ที่กำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งก็อาจหมายความว่าจะไม่ใช้เรื่องภาษีมากดดันไทย...

อย่างไรก็ตาม ท่าทีแข็งกร้าวของ นายอนุทิน ก็ได้สร้าง “กระแสดราม่าทางการเมือง” จากผู้เห็นต่าง โดยเฉพาะจากนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม ที่โจมตี นายอนุทิน ว่ากำลังโหนกระแส “ชาตินิยม” เพื่อหวังผลทางการเมืองโดยไม่สนใจผลประโยชน์ของชาติ!!! 

ว่าแต่หาก นายอนุทิน โหนกระแสชาตินิยมจริงอย่างที่นักการเมืองฝั่งตรงข้ามกล่าวหา แม้สหรัฐฯ จะไม่ใช้เรื่องภาษีมากดดัน แต่กระแสชาตินิยมจะทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง...แล้วจะมีหุ้นกลุ่มใดรับผลกระทบ ???

เรื่องแรก กลุ่มที่ได้รับผลจากกระแสชาตินิยม คงหนีไม่พ้นไปจากกลุ่มการเมือง โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย และ พันธมิตร ซึ่งอยู่ในขั้วของผู้กุมอำนาจรัฐในขณะนี้ 

ไม่ต้องว่ากันอื่นไกล...ยกตัวอย่างแค่กรณีของคู่ขัดแย้งของไทยอย่างกัมพูชา ซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า การกระทบกระทั่งกันของทั้งสองประเทศ ส่วนใหญ่มักจะมีมูลเหตุมาจากการปั่นกระแสความนิยมของรัฐบาลกัมพูชา เพื่อเรียกคะแนนนับตั้งแต่สมัยที่ “สมเด็จ ฮุน เซน” ทำหน้าที่เป็นทำหน้านายกรัฐมนตรี ซึ่งมีทั้งกรณีเผาสถานทูตไทย กรณีเขาพระวิหาร 

จนต่อมาถึงรุ่นลูกซึ่งก็คือ “ฮุน มาเนต” ดูเหมือนคะแนนนิยมจะค่อยๆ ลดลง จนต้องปั่นกระแสฮีโร่โดยการขุดเรื่องเดิมๆ เหล่านี้ขึ้นมาในแทบทุกครั้ง เพราะเป็นที่รู้กันว่า หากต้องการเรียกคะแนนนิยม การมีปัญหาความขัดแย้งกับไทย จะสามารถเห็นผลได้เร็วและแรงที่สุด 

ดังนั้น หาก นายอนุทิน ตั้งใจจะโหนกระแสชาตินิยมขึ้นมาจริงๆ กลุ่มที่จะได้ประโยชน์ ก็หนี้ไม่พ้นกลุ่มทางการเมืองของ นายอนุทิน และพันธมิตร เนื่องจากพรรคภูมิใจไทย มีโอกาสที่จะใช้กระแสชาตินิยมนี้เพื่อปลุกคะแนนเสียงประชาชน “กลุ่มอนุรักษ์นิยม” เพื่อให้สามารถชนะการเลือกตั้งใหญ่ ที่กำลังจะเกิดขึ้นมาในเวลาอีกไม่กี่เดือนต่อจากนี้ 

หมายความว่า หากพรรคภูมิใจไทยชนะการเลือกตั้ง กลุ่มที่เสียผลประโยชน์ก็คือ ฝั่งตรงข้ามของพรรคภูมิใจไทย เช่น พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน หรือ พรรคอื่นๆ ที่อยู่ฝั่งเดียวกันนั่นเอง 

เรื่องที่สอง คือ กลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ที่น่าจะยังคงดำเนินต่อไปอีกอย่างไม่มีกำหนด...หรือจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ทั้งนี้ก่อนเกิดความขัดแย้งของทั้งสองประเทศ พบว่า ในช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 จะมีมูลค่าการนำเข้าและส่งออกราว 16,000 ล้านบาทต่อเดือน จนเมื่อเกิดเหตุการณ์ปะทะ และเริ่มทยอยปิดด่าน มูลค่าการค้าระหว่างกันก็ลดลงอย่างรวดเร็ว เหลือ 376 ล้านบาท 10 ล้านบาท และ 11 ล้านบาท ในเดือนกรกฎาคม สิงหาคม และ กันยายน 

โดยกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์อาจประกอบไปด้วย

กลุ่มแรก คือ กลุ่มธุรกิจบริเวณจังหวัดชายแดน โดยเฉพาะบริเวณด่านชายแดน ซึ่งมีการซื้อขาย การขนส่งสินค้าข้ามแดนไปมาระหว่างสองประเทศ หรือ ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารและบริการอื่นๆ ซึ่งจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่สามารถกลับมามีรายได้เช่นเดิม ไม่ว่าจะเป็นรายได้ที่มาจากการขาย หรือ การบริการ จนทำให้ทั้งผู้ประกอบการและแรงงานที่เกี่ยวข้อง ต้องเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นเพื่อหารายได้ 

กลุ่มที่สอง คือ บริษัทข้ามชาติรายใหญ่ อย่าง กลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT โดยในส่วนของ บมจ. ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก หรือ OR ขณะที่ธุรกิจโรงกลั่นไทยมีการส่งออกผลิตภัณฑ์น้ำมันไปยังกัมพูชา เช่น TOP IRPC SPRC และ PTTGC แม้จะมีตัวเลขที่ไม่สูง เช่นกัน แต่มีผลกระทบต่อ PTT ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ OR 

กลุ่มที่สาม คือ บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC ซึ่งมีปริมาณการขายปูนซีเมนต์ในกัมพูชา เกือบ 2 ล้านตันต่อปี ในปี 67 นอกจากนี้ บริษัทยังมีธุรกิจคอนกรีต ธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้างและธุรกิจโลจิสติกส์อยู่ในกัมพูชา แม้รายได้จากกิจการในกัมพูชาจะมีสัดส่วน 2.4% ของรายได้รวมในปี 67 ก็ตาม

ท้ายสุดคือ กลุ่มเครื่องดื่ม ซึ่งดูเหมือนว่า ทางฝั่งของ CBG จะได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากมียอดขายในกัมพูชาราว 37% ของยอดขายเครื่องดื่มชูกำลัง และ 21% ของยอดขายรวม 

อย่างไรก็ตาม ในความเห็นของเจ๊เมาธ์...เจ๊คิดว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องศักดิ์ศรีของประเทศ หรือ เรื่องของภาวะเศรษฐกิจที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความยากลำบาก เป็นเรื่องอ่อนไหวที่จะต้องบริหารจัดการให้ได้อย่างละเอียดอ่อนและสมดุล ไม่สามารถเอนเอียงไปในด้านใดมากเกินไปได้ 

ขณะเดียวกัน...ไม่ว่า ทั้งไทย และ กัมพูชา จะอย่างไร ก็ไม่มีทางที่จะย้ายหนีจากกันไปที่ไหนได้อีก การคุยกันโดยที่ไม่ต้องมีชาติที่สามอื่นใดเข้ามายุ่ง เพราะหวังผลประโยชน์จึงจำเป็น 

ดังนั้น การยุติเรื่องให้รวดเร็วที่สุดจึงเป็นสิ่งที่ควรจะทำ ส่วนจะทำได้แบบไหน หรือ ทำได้แค่ไหน ก็คงต้องอยู่บนผลประโยชน์ของชาติ และประชาชนเป็นหลัก เรื่องมันก็มีอยู่เท่านี้เองเจ้าค่ะ