“กระตุ้นท่องเที่ยว” เสี่ยหนู...โชคดีที่มาถูกเวลา!

21 ต.ค. 2568 | 23:30 น.
อัปเดตล่าสุด :22 ต.ค. 2568 | 00:56 น.

“กระตุ้นท่องเที่ยว” เสี่ยหนู...โชคดีที่มาถูกเวลา! : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์

KEY

POINTS

  • รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวชุดใหม่ 4 มาตรการ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี
  • มาตรการหลักประกอบด้วย การให้สิทธิลดหย่อนภาษีท่องเที่ยวสูงสุด 20,000 บาท, การเร่งรัดเบิกจ่ายงบสัมมนาของภาครัฐ และการสนับสนุนผู้ประกอบการโรงแรมและสถานบันเทิง
  • มาตรการมุ่งเน้นส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ โดยเฉพาะในจังหวัดเมืองรอง เพื่อกระจายรายได้
  • การออกมาตรการในช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว ถือเป็นจังหวะเวลาที่ดีและเป็นความโชคดีของรัฐบาลอนุทิน

*** หลังโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ของรัฐบาลที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรับสิทธิ์ถึง 6 วัน นับตั้งแต่วันที่ 20 ไปถึง 26 ต.ค. 2568 ซึ่งจำนวนสิทธิ์ที่มีอยู่ถึง 20 ล้านสิทธิ์ ก็ถูกจับจองจนเต็มตั้งแต่วันแรกที่เปิด แม้จะยังมีบุคคลที่ตกค้างทั้งที่รีบตื่นเช้าขึ้นมาลงทะเบียนอยู่เป็นเป็นจำนวนมาก...แต่ก็ถือได้ว่าโครงการซื้อใจมวลชนโครงการแรกของรัฐบาลนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

เพียงแต่ด้วยระยะเวลาที่มีอยู่เพียง 4 เดือน ดูเหมือนว่าเพียง “คนละครึ่งพลัส” อาจ “ซื้อใจมวลชน” ได้ไม่เพียงพอ ส่งผลให้ล่าสุดรัฐบาล ได้ผลักดัน 4 มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว และมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐตามออกมาทันที

ว่าแต่มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว และเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ จะช่วยเศรษฐกิจอย่างไร และหุ้นกลุ่มไหนจะได้ประโยชน์!!!

ก่อนอื่นต้องมาดูกันก่อนว่า 4 มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว และเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐมีอะไรบ้าง

1. มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว เป็นมาตรการภาษี สำหรับผู้มีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถนำค่าใช้จ่ายที่พักในโรงแรม โฮมสเตย์ไทย หรือ สถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม และค่าบริการร้านอาหารที่จ่ายให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม มาหักลดหย่อนได้สูงสุด 20,000 บาท โดยอัตราการลดหย่อนท่องเที่ยวในจังหวัดท่องเที่ยวรอง 55 จังหวัด และบางอำเภอใน 15 จังหวัด ลดหย่อนได้ 1.5 เท่า ส่วนจังหวัดอื่นลดหย่อนได้ 1 เท่า มีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.- 15 ธ.ค.2568

2. มาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรม โดยให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งเบิกค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรม ประชุม สัมมนาในส่วนของการพัฒนาบุคลากรไม่น้อยกว่า 60% ของวงเงินที่ตั้งไว้ เน้นเมืองท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวรองเป็นลำดับแรก และกำหนดให้เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดผลการปฏิบัติราชการ (KPI) ประจำปีงบประมาณ 2569 ของหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีระยะเวลาดำเนินการเดือน ต.ค. 2568 - ม.ค. 2569

3. มาตรการภาษี ขยายระยะเวลาปรับลดอัตราภาษีสถานบันเทิง ขยายเวลาปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตจาก 10% เป็น 5% ออกไปอีก 1 ปี สำหรับกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ ได้แก่ ไนต์คลับ ดิสโกเธค ผับ บาร์ ค็อกเทลเลาจน์ รวมถึงสถานที่จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่จัดให้มีการแสดงดนตรีหรือการแสดงอื่นใดเพื่อการบันเทิง ซึ่งปิดทำการหลังเวลา 24.00 น. มีระยะเวลาดำเนินการวันที่ 1 ม.ค. - 31 ธ.ค. 2569

4. มาตรการเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมที่พัก โดยให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการโรงแรม หักรายจ่ายการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการได้ 2 เท่า แต่ไม่ใช่การซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม) โดยยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินได้เป็นจำนวน 100 % ของรายจ่ายดังกล่าว มีระยะเวลาดำเนินการวันที่ 29 ต.ค. 2568 - 31 มี.ค. 2569

จะเห็นได้ว่า มาตรการทั้ง 4 ที่ถูกผลักดันออกมา พบว่า ในข้อ 1 และ 2 จะเน้นไปที่การกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวภายในประเทศ ในขณะที่การกำหนดให้การฝึกอบรม ประชุม สัมมนาในส่วนของการพัฒนาบุคลากร ถือเป็นความพยายามกระตุ้นให้เกิดการเดินทางของนักท่องเที่ยวเป็นหลัก ขณะที่ในข้อ 3 และ 4 จะเป็นเรื่องของการกระตุ้นการยกระดับคุณภาพการบริการของเจ้าของกิจการ เพื่อให้สอดคล้องและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้สนใจใช้บริการเพิ่มมากขึ้น

ว่าแต่ทั้ง 4 มาตรการที่ว่ามา หุ้นกลุ่มใดในตลาดหุ้นไทยจะได้อานิสงส์กันบ้าง ???

กลุ่มแรกคือ หุ้นกลุ่มโรงแรม CENTEL SHR ERW AWC และ ILM ซึ่งแม้ว่าโดยส่วนใหญ่จะมีที่ตั้งอยู่ในเมืองท่องเที่ยวเป็นหลัก แต่ด้วยมาตรการที่ใช้ได้ทั้งเมืองหลักเมืองรอง แต่หากมองกันตามตรงก็เชื่อได้ว่าการท่องเที่ยว และการเดินทางที่นักท่องเที่ยวเลือกก็ยังเน้นไปที่เมืองหลักอยู่ดี

กลุ่มที่สอง คือ กลุ่ม Food & Beverage โดยกลุ่มผู้ผลิตอาหารสด ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู เนื้อไก่ หรือ อาหารแปรรูปส่งไปยังร้านค้า ประกอบไปด้วย CPF GFPT TFG BGT CFARM ขณะที่ SAPPE CBG OSP SNNP ได้ประโยชน์จากการบริโภค snack & beverage ที่เพิ่มขึ้น

กลุ่มที่สาม คือ กลุ่มค้าปลีกและกลุ่มค้าวัสดุก่อสร่างและตกแต่ง ซึ่งสถานประกอบการจะต้องใช้เพื่อปรับปรุงคุณภาพการให้บริการ CPALL CPAXT BJC HMPRO DOHOME GLOBAL 

กลุ่มน้ำมันเชื้อเพลิงและสายการบิน ซึ่งเกิดจากการเดินทางท่องเที่ยว PTT OR PTG ATLAS WP AOT AAV BA THAI

ที่เจ๊เมาธ์ว่ามาทั้งหมด ยังไม่นับรวมไปถึงระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนจากรายได้ที่มาจากการจางงาน รายได้ที่มาจากภาษีที่จะตามมา หากมาตรการหล่านี้มีผลในทางปฏิบัติ ซึ่งก็เชื่อได้ว่า หากทำได้จริง ก็จะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม...ถือเป็นความ “โชคดี” ที่รัฐบาลของ “นายกฯอนุทิน” ได้เข้ามาบริหารประเทศในช่วงที่เป็น “ไฮซีซั่น” ของการท่องเที่ยวในประเทศอย่างพอดิบ...พอดี 

ดังนั้น เวลาที่มีอยู่เพียง 4 เดือนนี้ จึงจะต้องถูกใช้อย่างคุ้มค่าให้ได้มากที่สุด ทั้งนี้ก็เพื่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม และในขณะเดียวกัน หากทำได้ดีก็อาจถือได้ว่า เป็นการซื้อตั๋วเพื่อกลับมาเป็นนายกฯ ของ “เสี่ยหนู” ในสมัยหน้าได้อีกด้วยเจ้าค่ะ อิอิอิ

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์