“เถ้าแก่น้อย”พิสูจน์ด้วยการกระทำ....ไม่ใช่แค่คำพูด

04 พ.ย. 2568 | 23:00 น.

“เถ้าแก่น้อย”พิสูจน์ด้วยการกระทำ...ไม่ใช่แค่คำพูด! : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย... เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์

KEY

POINTS

  • นายอิทธิพัทธ์ (ต๊อบ) ผู้ก่อตั้งเถ้าแก่น้อย มีพฤติกรรมขายหุ้น TKN อย่างต่อเนื่อง สวนทางกับคำพูดที่ว่า รักบริษัท โดยทำกำไรจากการขายสุทธิไปแล้วกว่า 3,000 ล้านบาท
  • ก.ล.ต. ลงโทษทางแพ่งนายอิทธิพัทธ์ และพวกรวม 5 ราย กรณีใช้ข้อมูลภายในเกี่ยวกับผลประกอบการไตรมาส 3/2565 และการจ่ายปันผลพิเศษในการซื้อขายหุ้น TKN
  • คำชี้แจงของนายอิทธิพัทธ์ ผ่านจดหมายเปิดผนึกขัดแย้งกับผลการสอบสวนของ ก.ล.ต. ทั้งในประเด็นกรอบเวลา และจำนวนเงินที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้น

ถ้าใครสงสัยว่าทำไมเจ๊เมาธ์ถึงยอมใช้พื้นที่ จนถึงบทความนี้รวมแล้วถึง 3 ตอน เพื่อพูดถึงแค่เรื่องของกลุ่มผู้บริหาร และผู้ถือหุ้นใหญ่ TKN ไม่ว่าจะเป็น “ต๊อบ เถ้าแก่น้อย” หรือ นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ และ นายณัชชัชพงศ์ พีระเดชาพันธ์ ซึ่งเป็นพี่ชายของต๊อบ รวมไปถึงเหล่าผู้เกี่ยวข้องอีก 3 ราย รวมทั้งหมด 5 ราย ที่ถูก ก.ล.ต.ลงโทษทางแพ่ง

โดยระบุว่า ทั้งต๊อบ และ พี่ชาย ได้ใช้บัญชีหุ้นของคนทั้ง 3 ในการซื้อขายหุ้น TKN จนเข้าข่ายการใช้ข้อมูลภายใน (Inside Information) มาจนถึงล่าสุด การที่บอร์ดบริหารของ TKN ได้แต่งตั้ง นางสาวอรพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ พี่สาวของต๊อบให้ทำหน้าที่ CEO คนใหม่ของ TKN 

วันนี้เจ๊เมาธ์จะมาเฉลยสิ่งที่ค้างคาใจของเจ๊ให้ฟัง !!!

ประเด็นแรก เป็นเรื่องของภาพลักษณ์ที่ต๊อบพยายามสื่อสารออกมาว่า “รักบริษัท” และไม่คิดจะขายหุ้นมาโดยตลอด ซึ่งกรณีดูไปแล้วก็คล้ายคลึงกับเรื่องของ BEAUTY และ JKN ซึ่งผู้ถือหุ้นใหญ่ของทั้ง 2 บริษัท ต่างก็มีพฤติกรรม “รักบริษัท” แต่ก็ทยอยขายหุ้นออกอยู่ตลอดเวลาไม่ต่างกัน 

นับตั้งแต่ TKN เข้ามาเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่วันที่ 3 ธ.ค. 2558 ตลอดช่วงเวลากว่า 10 ปี ที่ผ่านมาพบว่า “ต๊อบ เถ้าแก่น้อย” หรือ นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ มีการซื้อขายหุ้น TKN ออกมาโดยตลอด

ทั้งนี้ หากอ้างอิงจากรายงานสำนักงาน ก.ล.ต พบว่า มีการขายสุทธิ ในมูลค่าสูงถึง 3.6 พันล้านบาท โดยในช่วงปี 2559-2565 พบว่ามีการขายหุ้น TKN จำนวนรวม 199,126,000 หุ้น ในช่วงราคา 8.1- 27 บาท 

โดยในช่วงเวลาที่ว่านี้ มีขาย Big Lot ให้แก่ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR จำนวน 19,320,000 หุ้น ราคาเฉลี่ย 8.10 บาท คิดเป็นมูลค่า 156 ล้านบาท ในขณะที่มีธุรกรรมการซื้อหุ้นของ TKN ในช่วงปี 2560-2568 มีจำนวนรวม 53,342,700 หุ้น ในช่วงราคา 4.95-21.5 บาท รวมมูลค่าประมาณ 560 ล้านบาท

หมายความว่า 10 ปีที่ผ่านมา “ต๊อบ เถ้าแก่น้อย” สร้างส่วนต่างจากรายได้จากการขายหุ้น TKN เข้ากระเป๋าไปแล้วกว่า 3,000 ล้านบาท 

เรื่องที่สอง คือ กรณีการให้ข้อมูลที่สวนทางกับผลการสอบสวนของ ก.ล.ต. 

ทั้งนี้ “ต๊อบ เถ้าแก่น้อย” ได้ออกจดหมายเปิดผนึกชี้แจงข้อเท็จจริง โดยยืนยันว่า ตนไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ และไม่มีการใช้ข้อมูลภายในของบริษัท เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวจากธุรกรรมนี้ เป็นเพียงการทำธุรกรรมทางการเงินส่วนตัวกับบุคคลใกล้ชิด โดยไม่ทราบมาก่อนว่า ต่อมาบุคคลใกล้ชิดได้มีการนำเงินดังกล่าวไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ และเกิดผลตอบแทนขึ้นในจำนวนประมาณ 5.8 ล้านบาท ซึ่งเป็นการกระทำในฐานะส่วนบุคคล โดยไม่มีเจตนาเกี่ยวข้องกับการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัท 

พร้อมระบุว่า...การซื้อขายที่เกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม - กันยายน 2565 ยังอยู่ในช่วงเวลาที่ผู้บริหารสามารถซื้อขายหลักทรัพย์ได้ตามปกติ และในขณะนั้น งบการเงินไตรมาส 3/2565 ยังไม่แล้วเสร็จ 
ท้ายที่สุด “ต๊อบ” ระบุว่า เป็นการกระทำโดยที่ “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” 

แต่ปัญหา คือ สิ่งที่จดหมายเปิดผนึกของ “ต๊อบ เถ้าแก่น้อย” ระบุถึงทั้งในส่วนที่เป็น “จำนวนเงิน” และ “กรอบระยะเวลา” ล้วนแตกต่างไปจากข้อมูลที่ ก.ล.ต. ได้มาจากการสืบสวนทั้งจากข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานอย่างชัดเจน

ทั้งนี้ ก.ล.ต. ระบุว่า พบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่า ในระหว่างวันที่ 5 สิงหาคม - 9 พฤศจิกายน 2565 บุคคลทั้ง 5 รายดังกล่าว ได้กระทำการที่เข้าข่ายเป็นความผิดเกี่ยวกับการซื้อหุ้นโดยอาศัยข้อมูลภายในที่ส่งผลกระทบด้านบวกต่อราคาหุ้น TKN ที่ตนรู้หรือครอบครอง ได้แก่ 

ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ปี 2565 ของ TKN ที่มีกำไรสุทธิจำนวน 179.97 ล้านบาท ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 

และการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลรอบที่ 2 (รอบพิเศษ) สำหรับผลการดำเนินการของไตรมาสดังกล่าว ในอัตรา 0.08 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่มีสาระสำคัญด้านบวกต่อราคาหุ้น TKN ที่ยังไม่ได้เปิดเผยต่อประชาชนเป็นการทั่วไป

หมายความว่า ต๊อบ และ ก.ล.ต. พูดกันคนละเรื่อง...

หรือหากจะพูดกันให้ชัดก็คือ...หากต๊อบพูดว่า “ยอมรับและเคารพการดำเนินการของ ก.ล.ต.” ก็ควรจะพูดให้ชัดโดยอ้างอิงตามช่วงเวลาและจำนวนเงินเพื่อให้เกิดความชัดเจนว่า ความจริงคืออะไร ไม่ใช่การสื่อสารผ่านจดหมายเปิดผนึก ซึ่งเป็นการ “สื่อสารทางเดียว” เพื่อให้สังคมตีความกันไปเอง โดยไม่ยอมออกมาสื่อสารด้วยวาจาผ่านทางสื่อมวลชน...ซึ่งดูไม่ค่อยจะเข้าท่า!!!

เพราะถ้าหากแฟนคลับของต๊อบ เชื่อข้อมูลเพียงฝั่งเดียว ก็อาจกลายเป็นการ “ดิสเครดิต” ข้อมูลและกระบวนการสืบสวนสอบสวนของ ก.ล.ต. ก็เป็นได้

เจ๊เมาธ์บอกได้เลยว่า ไม่ว่าใครก็ตาม...หากต้องการสื่อความจริงใจให้คนเชื่อ จะต้องมีทั้ง “คำพูดและการกระทำ” ไม่ใช่มีเพียงแค่ “คำพูด” ที่ทำอีกอย่างแต่พูดอีกอย่างเจ้าค่ะ อิอิอิ

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย... เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์