“คนละครึ่งพลัส” ก้าวแรกของการซื้อใจ!

16 ต.ค. 2568 | 23:30 น.

“คนละครึ่งพลัส” ก้าวแรกของการซื้อใจ! : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์

KEY

POINTS

  • "คนละครึ่งพลัส" เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลนายกฯ อนุทิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างความนิยมในระยะเวลาทำงานที่จำกัด
  • รัฐบาลช่วยออกค่าใช้จ่าย 50% เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน เพิ่มสภาพคล่องให้ร้านค้า และแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ
  • ผู้มีสิทธิ์คือประชาชนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป (ที่ไม่ใช่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ) โดยวงเงินสนับสนุนจะแตกต่างกันระหว่างผู้ยื่นและไม่ยื่นภาษี
  • โครงการนี้คาดว่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจ และหุ้นในหลายกลุ่ม เช่น ค้าปลีก, อาหาร, ขนส่งมวลชน และ ธนาคาร

*** นับตั้งแต่นำคณะรัฐมนตรี เข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณ ก่อนเข้ารับหน้าที่ และแถลงนโยบายรัฐบาล ไปจนถึงวันยุบสภา ซึ่ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ประกาศว่าจะเกิดขึ้นภายในสิ้นเดือนมกราคม 2569 ส่งผลให้รัฐบาลของนายกฯ อนุทิน มีเวลาเพียง 4 เดือนในการทำงาน ซึ่งถือได้ว่าเป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างสั้น และลำบากหากต้องใช้เวลาเพียงเท่านี้ ผลักดันโครงการใหญ่ใดๆ ก็ตามออกมา 

หมายความว่า หากคาดหวังให้พรรคภูมิใจไทย กลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยที่ นายอนุทิน นั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐบาลของนายกฯ อนุทิน จะต้องเร่งซื้อใจมวลชนเพื่อให้เวลาเพียง 4 เดือน ที่มีอยู่ไม่สูญเปล่า โดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะน่าจะเป็นตัวชี้วัดชัดเจนที่สุด ที่รัฐบาลอนุทิน ให้ความสำคัญ ทั้งนี้โครงการ “คนละครึ่งพลัส” เป็นโครงการแรกที่ถูกผลักดันออกมาก่อนใคร 

ว่าแต่ “โครงการคนละครึ่งพลัส” จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างไร มีประชานชนกลุ่มใด และมีหุ้นกลุ่มใดที่ได้ประโยชน์!!!

ในส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจของโครงการคนละครึ่งพลัส มีหลักการง่าย ๆ คือ “รัฐช่วยออกค่าใช้จ่าย 50% โดยให้ประชาชนจ่ายเงินในส่วนที่เหลืออีก 50% เพื่อซื้อสินค้ากับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ” 
ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย และเพื่อดึงเงินเก็บออกมาจากระบบ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กิจการร้านค้า เพื่อกระตุ้นให้เกิดการจ้างงาน ขณะเดียวกัน ก็เป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนนั่นเอง

ส่วนในเรื่องของประชาชนที่ได้ประโยชน์จากโครงการนี้ ต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทย มีอายุตั้งแต่ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มผู้ได้รับสิทธิ์รับเงิน เพื่อร่วมโครงการจำนวน 2,400 บาท (รัฐสมทบ 60% และประชาชน 40%) ซึ่งก็คือ กลุ่มประชาชนผู้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามฐานข้อมูลของกรมสรรพากร ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 

ในขณะที่กลุ่มผู้ได้รับสิทธิ์เป็นเงิน 2,000 บาท (รัฐสมทบ 50% และ ประชาชน 50%) คือ กลุ่มประชาชนผู้ไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทั้งนี้มีเวลาลงทะเบียน ตั้งแต่วันที่ 20-26 ต.ค. 2568 เท่านั้น

ส่วนกลุ่มหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากโครงการคนละครึ่งพลัส ประกอบไปด้วย

1. กลุ่มบริษัทผู้ค้าปลีก ประกอบไปด้วย CPAXT (Makro และ Lotus’s) และ BJC (BigC) จะได้รับประโยชน์มากสุดเนื่องจากร้าน Traditional Trade ซึ่งเป็นจุดหมายหลักในการใช้คนละครึ่งพลัส ส่วน TNP (ธนพิริยะ) ซึ่งเป็นร้านค้าท้องถิ่นที่เข้าร่วมโครงการในครั้งก่อน 

2. กลุ่มผู้ผลิตอาหารสด ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู เนื้อไก่ หรือ อาหารแปรรูปส่งไปยังร้านค้า ตลาดสด และ ห้างสรรพสินค้าที่ร่วมโครงการ ซึ่งประกอบไปด้วย CPF GFPT TFG BGT CFARM

3. กลุ่มสินค้าที่เกิดจากสภาพคล่อง จากกำลังซื้อที่มากขึ้น ได้แก่ CBG OSP SAPPE ICHI SNNP

4. กลุ่มอาหารเดลิเวอร์รี่ เช่น MAGURO M ZEN

5. กลุ่มผู้ให้บริการระบบขนส่งมวลชน BEM BTS (รถไฟฟ้าระบบราง) EA NEX BYD (รถโดยสารประจำทางใน กทม.) หลังกระทรวงคมนาคม พร้อมสนับสนุนโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ของรัฐบาล เพื่อช่วยลดค่าครองชีพและกระตุ้นเศรษฐกิจ เปิดให้ประชาชนใช้สิทธิ์กับบริการขนส่งสาธารณะทุกประเภท

6. หุ้นธนาคาร อย่าง KTB ซึ่งจะได้ประโยชน์จากการใช้แอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง” 

แน่นอนว่า สิ่งที่เจ๊เมาธ์ยกตัวอย่าง เป็นเพียงบางส่วนของบริษัทในตลาดหุ้นไทยที่มีโอกาสได้อานิสงส์ จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเร่งด่วนของรัฐอย่างโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ทั้งนี้เนื่องจากการกระตุ้นการใช้จ่าย ด้วยการดึงเงินออกมาจากกระเป๋าของประชน แม้จะเป็นเพียง “ครึ่ง” แต่ก็จะทำให้เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินรวมไปถึงเกิดการจ้างงาน ซึ่งจะวนกลับไปที่ระบบของการจ่ายภาษี และกลับมาสู่ประชาชนทุกคน จนครบระบบ Eco-Systems ทางเศรษฐกิจในท้ายที่สุดนั่นเอง

เจ๊เมาธ์ก็ได้แต่เอาใจช่วย และตั้งใจว่าจะใช้เงินที่ได้มาจากโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ให้เป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ 

บอกเลยว่านาทีนี้ ถ้าคนไทยไม่ช่วยกัน...เราก็อาจไปไม่รอดกันทั้งประเทศเจ้าค่ะ

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์