KEY
POINTS
*** การกลับเข้ามาซื้อขายหุ้นอีกครั้งของ บมจ.การบินไทย หรือ THAI เป็นการกลับมาด้วยภาพลักษณ์สุดหรู ซึ่งเริ่มต้นด้วยการหลุดออกมาจากแผนฟื้นฟูกิจการ ด้วยผลการดำเนินงานที่สุดสวย ต่อด้วยการกระจายข้อมูลในเรื่องของผู้ถือหุ้น ที่มีแต่กองทุนขนาดใหญ่และสหกรณ์ออมทรัพย์ชั้นแนวหน้า จนปิดท้ายด้วยผลประกอบการไตรมาสที่ 2/68 ที่มีกำไรสุทธิ 21,955.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,7145.88 ล้านบาท
ทั้งนี้ข่าวดีแต่ละอย่างที่ทยอยปล่อยออกมา ล้วนส่งผลให้ราคาหุ้นของ THAI ถูกดันราคาขึ้นไปถึงจุดสูงสุดที่ 19.40 บาท เพียงไม่กี่วันนับจากเข้าตลาด ขณะเดียวกัน...ทันทีที่มีข่าวเรื่องผลการดำเนินงานไตรมาส 2/68 ก็กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ราคาหุ้นเกิดภาวะ Sell on Fact จนราคาหุ้นของ THAI ปรับราคาร่วงลงมาอย่างหนัก จากจุดสูงสุดที่ว่า
หากมองง่ายๆ อาจเห็นว่า การที่ราคาหุ้นของ THAI เคลื่อนไหวอยู่ที่ 13-13.50 บาท ในปัจจุบันเป็นการปรับลงมาเพียง 33% จากราคาหุ้นสูงสุดที่ 19.40 บาท แต่หากมองในอีกมุม กลับพบว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่ติดดอยหุ้นตัวนี้ ในราคาสูงสุดที่ว่า จะต้องรอให้ราคาหุ้นของ THAI ปรับขึ้นไปถึง 50% ให้ได้ซะก่อน ถึงจะมีปัญญาหลุดออกมาจากดอยนี้ได้
ว่าแต่สาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นของ THAI ปรับราคาลงมาแรง จนทำให้นักลงทุนรายย่อย “ติดดอย” ทั่วประเทศเกิดจากอะไร!
อย่างแรก ก็หนีไม่พ้นไปจากเรื่องของการปั่นข่าวดันราคาด้วยเรื่องของภาพลักษณ์ อย่างที่เจ๊เมาธ์เกริ่นเอาไว้แล้วว่า THAI มีการปล่อยข่าวออกมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งหากถามว่า บริษัทใหญ่ขนาดนี้ สามารถใช้ข่าวมานำราคาหุ้นได้จริงหรือ เจ๊เมาธ์ก็บอกเลยว่าถึงแม้บริษัทนี้หุ้นจะจดทะเบียนจำนวนถึง 28,303 ล้านหุ้น
ในขณะที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ส่วนที่เหลือเป็นสถาบันและกองทุน แต่การมีผู้ถือหุ้นรายย่อยรวมกว่า 1.1 แสนราย ที่มีหุ้นรวมกันประมาณ 2 พันล้านหุ้นเศษ ถือเป็นสัดส่วนไม่ถึง 10% ของทุนจดทะเบียน ถือเป็นจุดอ่อนที่ทำให้การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ถูกขับเคลื่อนไปด้วยกลุ่มของผู้ถือหุ้นรายย่อยนั่นเอง
ต่อมาเป็นเรื่องของต้นทุนที่ราคาปิดครั้งสุดท้ายที่ 3.32 บาท ก่อนที่บริษัทจะถูกระงับการซื้อขาย (SP) เพื่อเข้าสู่แผนฟื้นฟูฯ ตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 ก่อนที่ต่อมา THAI ประกาศเพิ่มทุนโดยนำหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 9,822.47 ล้านหุ้น เพื่อเสนอขายผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 1 หุ้นเดิมต่อ 4.5 หุ้นใหม่ ในราคาหุ้นละ 4.48 บาท ส่งผลให้กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม มีต้นทุนที่ต่ำกว่ากลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่เกือบ 60% เมื่อเทียบกับราคาเปิดตลาดในการกลับมาซื้อขายใหม่ที่ราคา 10.50 บาท
หมายความว่า ความแตกต่างระหว่างกลุ่มผู้ถือหุ้น และผู้ถือหุ้นใหม่ คือ การที่กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมสามารถขายหุ้นได้ในทุกราคา ขณะที่กลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่มีขีดจำกัดก่อนการขาดทุนที่ 10.50 บาทนั่นเอง
แน่นอนว่า โดยทฤษฎีแล้ววิธีการที่ทำให้ไม่ต้องติดดอย ในเบื้องต้นที่ก็คือ การปรับลดความเสี่ยงด้วยการตั้งจุด Stop Loss ที่หมายถึงว่า นักลงทุนจะต้องยอมตัดความเสียหายบางส่วน (ยอมขาดทุน) ออกไปก่อนที่จะลุกลามมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีกลุ่มนักลงทุนที่ไม่ตัดสินใจ ที่จะขาดทุนด้วยการ Stop Loss โดยส่วนหนึ่งอาจมั่นใจในพื้นฐานว่า หุ้นตัวที่ติดดอยยนั้น ยังมีโอกาสที่จะกลับมา จนยอมที่จะปล่อยไปไหลเรื่อยๆ เพื่อที่จะรอโอกาสให้กลับมาใหม่
ขณะเดียวกัน ก็มีนักลงทุนบางส่วนที่อาจเสียดาย และลดความสูงของการติดดอยก็คือการ “ถัว” ซึ่งก็คือ การเพิ่มจำนวนหุ้นเข้ามาเพื่อให้ต้นทุนราคาปรับลดลง แต่หากราคาหุ้นไม่ได้ไปต่ออย่างที่คิด...ความเสียหายที่อาจตามมา ก็จะสูงมากขึ้นตามจำนวนหุ้นที่มีนั่นเอง
เอาเป็นว่าอย่าเพิ่งไปตัดสินว่าหุ้น THAI จะดีหรือไม่ ทุกอย่างยังเป็นไปตามพื้นฐาน...ที่เจ๊เมาธ์เล่าให้ฟังเป็นแค่เรื่องการ “ติดดอย” เพราะตัดใจไม่ได้ หรือ ตัดไม่ขาด เรื่องมันมีเท่านี้เองค่ะ
คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย..เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์