ลดจำนวนคนจน...โจทย์หลักรัฐบาลใหม่!

19 ก.ย. 2568 | 06:31 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ก.ย. 2568 | 06:42 น.

ลดจำนวนคนจน...โจทย์หลักรัฐบาลใหม่! : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์

KEY

POINTS

  • สภาพัฒน์รายงานสถานการณ์ปี 2567 พบจำนวนคนจนในไทยเพิ่มขึ้นเป็น 3.43 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 30% จากปีก่อนหน้า โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรม สะท้อนว่านโยบายแก้จนของรัฐบาลที่ผ่านมายังไม่ประสบผลสำเร็จ
  • ปัจจัยเสี่ยงสำคัญในปี 2568 คือ "ภาษีทรัมป์" ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออกหลักของไทย ทั้งสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม ซึ่งอาจทำให้คนจนในภาคการผลิตเพิ่มขึ้น
  • แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 ที่คาดว่าจะเติบโตต่ำ ประกอบกับความไม่แน่นอนทางการเมืองในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล เป็นโจทย์ใหญ่และความท้าทายหลักในการแก้ไขปัญหาความยากจน

*** รายงานสถานการณ์ประเทศไทยประจำปี 2567 ของสภาพัฒน์ ระบุชัดเจนว่า สถานการณ์ความยากจนในประเทศไทยในปี 2567 แย่ลงในเกือบทุกมิติ โดยจำนวนคนจนในประเทศไทย ในปี 2567 มีจำนวน 3.43 ล้านคน (ร้อยละ 4.89 ของประชากรทั้งประเทศ) เพิ่มขึ้น 1.04 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 30% จากปี 2566

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเกษตรกรรมพบว่า มีสัดส่วนแรงงานยากจนสูงที่สุดคิดเป็น 9.61% เพิ่มขึ้นจากที่เคยอยู่ที่ 6.16% ในปี 2566 และด้วยตัวเลขคนจนที่เพิ่มขึ้นในปี 2567 ชี้ให้เห็นว่า นโยบายการแก้ไขปัญหาความยากจนของรัฐบาล ในช่วงรอยต่อของนายกฯ เศรษฐา และ นายกฯ แพทองธาร ซึ่งต่างก็มาจากพรรคเพื่อไทยเช่นกันถือว่าเกาไม่ถูกที่คัน...

 

นอกจากนี้ ยังพบว่า จำนวนคนจนที่เพิ่มขึ้นในปี 2567 เป็นการเพิ่มขึ้นก่อนการกลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ รวมไปถึง “ภาษีทรัมป์” ที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงปี 2568 อย่างมีนัยสำคัญ

แน่นอนว่าเรื่องของ “ภาษีทรัมป์” ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามของภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) คือส่วนหนึ่งของสงครามการค้าโลก โดยมีประเทศจีนเป็นเป้าหมายหลัก และถึงแม้ประเทศไทยเป็นเพียง “ตัวประกอบที่โดนหางเลข”

แต่ผลกระทบที่ไทยจะได้รับอย่างแน่นอน คือ ตลาดส่งออก ซึ่งหลักๆ ประกอบไปด้วยสินค้าเกษตร เช่น ข้าว อาหารสุนัขและแมว ทูน่าและผลิตภัณฑ์ทูน่า กุ้งและผลิตภัณฑ์กุ้ง มะพร้าวและผลิตภัณฑ์มะพร้าว สับปะรดกระป๋อง และสินค้าอุตสาหกรรมการผลิต เช่น ธุรกิจส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ การส่งออกรถยนต์ การส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการส่งออกยางและผลิตภัณฑ์ยาง 

หมายความว่า ในปี 2568 ประเทศไทยอาจมีคนจากอุตสาหกรรมการผลิตกลายเป็นคนจนเพิ่มขึ้น จากเดิมที่ในปี 2567 ประเทศไทยมีสัดส่วนคนจนมาจากภาคเกษตรกรรมเป็นหลักนั่นเอง

หากมองในมุมมองเชิงวิเคราะห์จะพบว่า ปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไปน่าจะมีหลายอย่าง ซึ่งประกอบไปด้วย

ปัญหาแรก คือ เรื่องของตัวเลขทางเศรษฐกิจของไทยในช่วงปี 2568 ซึ่งยังคงไม่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากตัวเลขปี 2567 โดยไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 พบว่า GDP ขยายตัว 3.1% ส่วนไตรมาสที่ 2 ขยายตัว 2.8% ขณะที่คาดการณ์ว่าตัวเลข GDP ของไทยปี 2568 จะอยู่ในช่วง 1.3-2.1% ส่งผลให้แนวโน้มตัวเลขคนจนของไทย ที่สะสมมาจนถึงช่วงเดือนสิงหาคม 2568 มีแนวโน้มที่ยังคงสูงต่อไป

ปัญหาที่สอง คือ เรื่อง “ภาษีทรัมป์” ซึ่งประเทศไทยถูกเรียกเก็บในอัตรา 19% โดยจะมีภาษีเพิ่มอีก 40% สำหรับสินค้าสวมสิทธิผ่านทาง (transshipment) โดยเฉพาะสินค้าที่แหล่งผลิตที่มาจาก “จีน” จากทุกประเทศที่เข้าข่าย “สวมสิทธิ” ตามเกณฑ์การพิจารณาของสหรัฐฯ

ทำให้ในช่วงหลังของไตรมาสที่ 3/2568 ผลกระทบที่ประเทศไทยจะได้รับ ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขส่งออกที่ลดลง จำนวนคนตกงานเพิ่มขึ้น กำลังซื้อในประเทศลดลง และท้ายที่สุดก็ยังเป็นเรื่องของจำนวนคนจนที่เพิ่มมากขึ้นเหมือนเดิม

ปัญหาเรื่องที่สาม คือ ประเทศไทยเกิดสุญญากาศทางการเมือง เนื่องจากการเปลี่ยนถ่ายผู้บริหารประเทศจากรัฐบาลของนายกฯ แพทองธาร มาเป็นรัฐบาลของนายกฯ อนุทิน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนทั้งตัวนายกรัฐมนตรีและตัวรัฐมนตรีทั้งหมด 

ทั้งนี้ในส่วนที่ดีก็จะเป็นเรื่องของการรีเซ็ตระบบการบริหารราชการใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะในส่วนของ ครม. ที่ดูแลระบบเศรษฐกิจทั้งหมด ซึ่งถ้าหากทำได้ดีก็จะดีต่อประเทศอย่างแน่นอน...แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็หมายความว่า ต่อจากนี้ประเทศไทยก็ยังคงจะย่ำอยู่ที่เดิมต่อไปอีกเกือบปีเลยทีเดียว 

แน่นอนว่าท้ายที่สุดเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ ก็หนีไม่พ้นไปจากความหวังที่ฝากเอาไว้กับรัฐบาลใหม่อยู่ดี... 

เอาเป็นว่าเจ๊เมาธ์ให้กำลังใจนะคะ ยังคงพูดเหมือนเดิม...ถ้าทำดีก็มีโอกาสที่จะได้ไปต่อ แต่ถ้าทำตามที่ให้ความหวังไม่ได้ โอกาสที่จะกลับมาก็คงจะยากแล้วเจ้าค่ะ อิอิอิ

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์