ทำไม... ตลาดหุ้นไทยขุนไม่ขึ้น!

19 ส.ค. 2568 | 23:00 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ส.ค. 2568 | 01:06 น.

ทำไม... ตลาดหุ้นไทยขุนไม่ขึ้น! : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย... เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์

KEY

POINTS

  • ผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ และ จีน ที่ใช้มาตรการทางภาษี ทำให้ต้นทุนการส่งออกของไทยสูงขึ้น และลดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทจดทะเบียน
  • ตลาดหุ้นเวียดนามมีความน่าสนใจกว่า จากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็ว ค่าเงินที่อ่อนกว่า และ ข้อตกลงทางการค้าที่ได้เปรียบ ทำให้ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนได้มากกว่าไทย
  • ปัญหาเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ ที่ขาดความแน่นอนและต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศขาดความเชื่อมั่น และ ชะลอการลงทุน

*** แม้ดัชนีหุ้นไทยจะใช้เวลาในการขยับดัชนีขึ้นมาเกือบ 300 จุด จาก 1053.79 จุด มาแตะจุดสูงสุดที่ 1283.55 จุด เพียงเดือนกว่าๆ แม้จะไม่อาจกลับไปถึงจุดสูงสุดในรอบปีที่ระดับ 1500 จุดได้อีก แต่ก็ทำให้ตลาดหุ้นไทยในจังหวะนั้น ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นร้อนแรงที่สุดในโลก แต่ท้ายที่สุดเมื่อไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามาสนับสนุนก็ทำให้ “ตลาดหุ้นสุดร้อนแรง” กลับกลายมาเป็น “ตลาดหุ้นที่หมดแรง” ไม่ต่างจากที่เป็นมาหลายปีอีกครั้ง...

ว่าแต่ทำไมถึงตอนนี้...ตลาดหุ้นไทยจึงยังขุนไม่ขึ้น???

แน่นอนว่า ปัจจัยลบที่กดดันตลาดหุ้นไทยเด่นชัดที่สุด เรื่องแรก เป็นสิ่งที่รู้กันว่า เกิดจากภาวะสงครามการค้าจากสองมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา และ จีน ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังสหรัฐ งัดเอาทุกวิธีการเพื่อใช้ในการสกัดไม่ให้จีนสามารถก้าวขึ้นมาเทียบรัศมีของพี่ใหญ่ 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่สหรัฐ ใช้กลยุทธ์ในการ “ปิดล้อม” ประเทศจีน ด้วยวิธีการ “แบ่งแยกแล้วปกครอง” ที่เริ่มต้นด้วยการเก็บภาษีนำเข้าสินค้า (Tariff) จากทุกประเทศทั่วโลก โดยแบ่งตามความใกล้ชิด และการเป็นแนวร่วมของสหรัฐ ในการร่วมต่อต้านจีน 

ขณะเดียวกันประโยชน์ที่สหรัฐ จะได้จากการเดินกลยุทธ์เก็บภาษีนำเข้าสินค้า นอกจากจะได้เงินจากภาษีนำเข้าสินค้าที่ว่า คือ สหรัฐ สามารถดึงโรงงานผลิตสินค้าในอุตสาหกรรมที่สำคัญ กลับเข้าสู่สหรัฐ เพื่อสร้างงานในแผนดินแม่นั่นเอง 

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของภาษีศุลกากร 40% สำหรับสินค้าที่มีลักษณะเป็นการส่งต่อสินค้า (Transshipping) ที่มีแหล่งกำเนิดนอกประเทศ ซึ่งมีแนวโน้มว่า จะเป็นแหล่งกำเนิดที่มาจากจีนเป็นสำคัญ ทั้งนี้ในส่วนของผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อประเทศไทย ก็คือ ปัญหาในเรื่องสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐ ที่มีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากภาษีนำเข้าสินค้าซึ่งส่งผลกระทบทำให้กลุ่มบริษัทจดทะเบียน ซึ่งทำธุรกิจส่งออกจำนวนมาก จะประสบปัญหาในการแข่งขันกับประเทศอื่นถูเก็บภาษีนำเข้าสินค้าที่ต่ำกว่า

เรื่องต่อมา เป็นเรื่องของความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทย เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเดียวกันอย่างเวียดนาม ทั้งนี้ นอกจากในเรื่องของเม็ดเงินลงทุนที่ไหลเข้าไปสู่เวียดนาม จนดันให้ GDP โตเฉลี่ยอยู่ที่ 7% ขณะที่ GDP ของไทยยังต้วมเตี้ยมด้วยอัตราการโตที่ 2% มาหลายปี ส่งผลให้ผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่ำกว่าอย่างชัดเจน 

นอกจากนี้ ไทยยังมีปัญหาในเรื่องที่เวียดนาม ได้เปรียบจาก “ดีลการค้า” ที่มีกับประเทศอื่นๆ จำนวนมาก และอาจส่งผลให้การส่งสินค้าออกไปสหรัฐทำได้มากขึ้น เนื่องจากคู่แข่งหลักอย่าง “อินเดีย และ จีน ” มีปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมไปถึงภาษีนำเข้าสินค้า (Tariff) ที่ถูกสหรัฐเก็บสูงมาก 

ขณะเดียวกัน ถึงแม้ไทยจะได้อัตราภาษีดีกว่าเวียดนาม 1% (ไทยถูกเรียกเก็บ 19% ส่วนเวียดนามถูกเก็บ 20%) แต่ปัญหา “เงินบาทแข็งค่า” เมื่อเทียบกับค่าเงินเวียดนามที่อ่อนค่าลง ประมาณ 7-8% ตั้งแต่ต้นปี ก็ส่งผลความน่าสนใจของตลาดหุ้นเวียดนามมีมากกว่า รวมไปถึงสามารถดึงเม็ดเงินลงทุนเข้าประเทศได้มากกว่าไทยเช่นกัน 

ท้ายที่สุดเป็นปัญหาในเรื่องของเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศไทย ซึ่งหลายปีที่ผ่านมามีความไม่แน่นอน และขาดความต่อเนื่องมาโดยตลอด 

ในขณะที่รัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งมี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ยังต้องมาลุ้นว่า ในวันที่ 29 สิงหาคม ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยว่า นางสาวแพทองธาร มีความผิดด้านมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ ซึ่งหากศาลตัดสินว่ามีความผิด ...ประเทศไทยก็จำเป็นจะต้องมานับหนึ่งกับ นายกฯ คนใหม่ ซึ่งตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะเป็นใครกันแน่ ซึ่งจุดอ่อนในเรื่องทางการเมืองนี้เอง ทำให้นักลงทุนไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนไทย หรือ นักลงทุนต่างชาติ ต่างเบนเข็มทิศการลงทุนออกไปจากไปจากไทย ตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องร้ายที่เต็มไปด้วยจุดอ่อนจนทำให้นักลงทุนจำนวนมากต่างก็ส่ายหัว แต่ตลาดหุ้นไทยก็ยังพอจะมีข้อดีอยู่บ้าง ไม่ว่า จะเป็นเรื่องของทุนสำรองของประเทศที่มีความแข็งแกร่ง การกลับเข้ามาอย่างถูกที่ถูกเวลาของ บมจ.การบินไทย (THAI) การได้ผู้ว่า ธปท. คนใหม่ ผู้ซึ่งมีแนวโน้มในการใช้นโยบายทางการเงินที่ยืดหยุ่นถูกใจนักลงทุนมากขึ้น นอกจากนี้ ไทยยังมีความพร้อมในเรื่องของ “ทุนมนุษย์” ที่สามารถต่อยอดมาเป็นต้นทุนในการพัฒนาประเทศได้ในอนาคตอีกมาก

ก็อย่างที่เจ๊เมาธ์บอกมาตลอดว่า ปัญหาประเทศหนีไม่พ้นไปจากความสามารถ และความเป็นมืออาชีพของรัฐบาล ที่จะใช้ในการวิเคราะห์ การตีโจทย์ รวมไปถึงใช้ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ว่ารวมไปถึงการวางแผนในระยะยาวว่าจะจัดการได้อย่างไร 

ถ้ารัฐบาลนี้ไม่ไหว...ก็เลือกผู้นำคนใหม่ เลือกรัฐบาลใหม่ นาทีนี้ถ้าคนไทยเราไม่ช่วยกันเอง ก็ไม่มีใครช่วยเราได้อีกแล้วเจ้าค่ะ

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย... เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์