KEY
POINTS
*** ชัดเจนแล้วว่า วิทัย รัตนากร คือ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ผู้ว่าฯ ธปท.) คนใหม่ ที่จะมาแทนที่ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ในวันที่ 1 ต.ค. 68 หลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ซึ่งแม้ไม่นอกเหนือไปจากความคาดหมาย แต่การก้าวมาอยู่ในจุดนี้ ก็ทำให้ถูกคาดหวังว่า นายวิทัย จะสามารถทำงานสอดประสานกับรัฐบาลในการนำพาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในส่วนของตลาดเงินและตลาดทุน ซึ่งอยู่ใต้การควบคุมดูแลของ ธปท. ให้สามารถเดินหน้าไปได้อย่างมีเสถียรภาพ สมกับการเป็นบุคคลที่มีภูมิหลังไม่ธรรมดา!!!
ว่ากันตรงๆ ความคาดหวังที่ถูกพูดถึงชัดเจนที่สุดที่มีต่อ ผู้ว่าฯ ธปท. คนใหม่ หนีไม่พ้นไปจากเรื่องของการใช้นโยบายทางการเงินที่ยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งถูกมองว่า จะช่วยให้บรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้นไทย ที่ยังคงอ่อนแอ และนักลงทุนต่างชาติที่ยังชะลอการลงทุน ให้กลับดีขึ้นมาได้
ทั้งนี้นักวิเคราะห์จาก เกียรตินาคินภัทร (KKP) ระบุว่า “ควรลดดอกเบี้ย” เนื่องจากที่ผ่านมา ธปท. สื่อสารต่อเนื่องว่า เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังชะลอตัวชัดเจน และพร้อมลดดอกเบี้ย แต่อยากลดในช่วงเวลาดีที่สุด แต่การลดดอกเบี้ยในภาวะที่การเข้าถึงสินเชื่อยาก แบงก์เข้มงวดปล่อยกู้มากขึ้น ดังนั้น หากลดดอกเบี้ย ควรมีวิธีทะลวงให้การส่งผ่านช่องทางสินเชื่อทำงานได้ดี
ขณะที่นักวิเคราะห์จาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ดอกเบี้ยสามารถลดลงได้อีกมาก และมองว่า ควรลดลงไปถึง 0.5% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดที่เคยเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตโควิด-19 เนื่องจากเศรษฐกิจอยู่ในภาวะซึมยาว และยังไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาฟื้น ดังนั้น การลดดอกเบี้ยให้เร็วขึ้นจะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็วขึ้นด้วย
ส่วนนักวิเคราะห์จากธนาคารไทยพาณิชย์ มองว่า การลดดอกเบี้ยไม่น่าจะทำให้เกิดความกังวลเรื่องหนี้ที่สูงขึ้นไปอีก แต่จะช่วยลดภาระการชำระดอกเบี้ยของผู้ที่มีภาระหนี้อยู่แล้ว และมองว่า การลดดอกเบี้ยเป็นสิ่งที่เหมาะสมในสถานการณ์ปัจจุบัน
แม้ว่าหลากหลายมุมมองระบุว่า การลดดอกเบี้ยนโยบาย เป็นสิ่งที่เหมาะสม แต่นักวิเคราะห์จากหลายสำนัก โดยเฉพาะจากฝั่ง “กองทุน” ต่างมองว่า ตลาดหุ้นไทยยังต้องรองรับแรงกดดันจากปัจจัยเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศ
ในขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ส่งผลให้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังไม่มีความชัดเจน นอกจากนี้ การเก็บภาษีนำเข้า 19% จากสหรัฐ ก็ยังจะส่งผลกระทบต่อกำไรของหุ้น “กลุ่มส่งออก” จนทำให้ต้องมีการปรับพอร์ตการลงทุนตามไปด้วย
ทั้งนี้ บลจ.เอ็มเอฟซี มองว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งหลังปีนี้อยู่ที่กรอบ 1,250-1,300 จุด โดยแนะกลยุทธ์จัดพอร์ตลงทุนหุ้นครึ่งปีหลังจากความเสี่ยงภาษีทรัมป์ ที่ต้องติดตามว่า จะส่งผลกระทบภาคอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจจริง Overweight สัดส่วน 50% พอร์ตลงทุน เน้นกระจายการลงทุนทั่วโลกที่หลากหลายโดยให้น้ำหนักหุ้นสหรัฐมากที่สุด ที่เหลือให้น้ำหนักการลงทุนตามความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้ โดยโฟกัสหุ้นไทย หุ้นอินเดีย หุ้นจีน และหุ้นเวียดนาม
ส่วน บลจ.กรุงศรี มองว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มสดใสกว่าครึ่งปีแรก เน้นกลยุทธ์การลงทุนที่ใช้เป็นการปรับพอร์ตแบบ หมุนเวียนกลุ่มอุตสาหกรรมและหุ้นรายตัว (Sector and Stock Rotation) เพื่อให้พอร์ตการลงทุนได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของตลาดได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ
ขณะที่ บลจ.กสิกรไทย ให้กรอบดัชนีหุ้นไทยที่ 1,050-1,300 จุด มั่นใจหากการย่อตัวของดัชนีรอบนี้ไม่ต่ำกว่าระดับ 1,050 จุด หุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวได้ นอกจากนี้ หากนักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่ของต่างประเทศกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะช่วยเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันดัชนี โดยหุ้นเด่นเน้นหุ้นกลุ่มปันผล ได้แก่ อสังหาฯ ธนาคาร พลังงาน สื่อสาร
อย่างไรก็ตาม...ในมุมมองของเจ๊เมาธ์ เจ๊มองว่า ในภาวะเศรษฐกิจของประเทศยังคงอ่อนแอ ในขณะที่การเมืองก็อาจเปลี่ยนแปลงได้ทุกเวลา ทำให้การฝากความหวังไปที่ตัวบุคคล หรือ บางทีมงาน ไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าใดนัก ดังนั้น การเปิดกว้างต่อข้อมูลข่าวสารทั้งหลาย เพื่อสังเคราะห์ออกมาให้เป็นองค์ความรู้ส่วนบุคคล จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ
นาทีนี้ช่วยเหลือตัวเองในเบื้องต้นให้ได้ก่อน...ก่อนที่จะไปคาดหวังความช่วยเหลือจากคนอื่น เรื่องมันก็มีเท่านี้เองเจ้าค่ะ
คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์