KEY
POINTS
*** ถ้าไม่บอกก็คงจะไม่รู้กันว่า หนึ่งในอานิสงส์ที่ทำให้ดัชนีหุ้นไทยกลับตัวจากจุดต่ำสุดในรอบหลายปี จนสามารถขยับขึ้นมายืนเหนือ 1240 จุดได้ในเวลาเพียงไม่ถึงเดือน ส่วนหนึ่งมาจากการที่ราคาหุ้นของ บมจ. ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT ฟื้นตัวขึ้นมาจากจุดต่ำสุดซึ่งถ้าหากจะบอกว่าในตอนนั้น ราคาหุ้นของ AOT ที่ปรับลงไปแตะ 26.50 บาท ซึ่งเป็นระดับราคาต่ำสุดในรอบ 10 ปีก็น่าจะไม่ผิดไปจากความจริง…
ว่าแต่อะไร คือ สาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้น AOT หลุดลงไปอยู่ในจุดต่ำสุด และอะไร คือ สาเหตุที่ทำให้ฟื้นตัวกลับมาได้ในเวลาไม่กี่วัน!!!
แน่นอนว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปัญหาที่ทำให้นักลงทุนคงจะหนีไม่พ้นไปจากเรื่องของผลกระทบที่ตามมาจากการระบาดของเชื้อ Covid-19 ซึ่งส่งผลให้มีการระงับเที่ยวบินภายในประเทศและต่างประเทศ ทั้งขาเข้าและขาออก ส่งผลให้บริษัทฯ ถึงขั้นขาดทุน 16,322 ในปี 2564 และ 11,087 ในปี 2565
ขณะเดียวกัน การระงับเที่ยวบินที่ว่านี้ ยังส่งผลกระทบไปยังคู่ค้าจนเป็นเหตุให้ AOT ต้องออกมาตรการเยียวยาคู่ค้าซึ่งเป็นผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์ โดยในปี 2563 ได้ประกาศยกเว้นการเรียกเก็บผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 – 31 มีนาคม 2565 รวมไปถึงต่ออายุมาตรการที่ว่านี้ออกไปจนถึงปี 2566
แน่นอนว่า คู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของ AOT หนีไม่พ้นไปจาก “King Power หรือ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด” ซึ่งถือได้ว่าได้รับอานิสงส์จากมาตรการเยียวยามากที่สุด เนื่องจาก King Power มีร้านค้าปลอดอากรในสนามบิน ที่อยู่ภายใต้การบริหารของ AOT ทั้งหมดนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม... มาตรการเยียวยาที่ว่า ดูเหมือนจะไม่สามารถตอบสนองความต้องการทั้งหมด โดยในช่วงปีที่ผ่านมาพบว่า King Power ได้มีการขอเลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนจากการประกอบกิจการ จำหน่ายสินค้าปลอดภาษีใน 5 ท่าอากาศยานที่ได้รับสัมปทานจาก AOT
รวมไปจนถึงล่าสุด ได้ส่งหนังสือขอหารือแนวทางยกเลิกสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรในสนามบินของ AOT ซึ่งแม้ว่าอาจไม่ใช่ความต้องการที่จะ “หยุด” หรือ “เลิก” ทำธุรกิจรวมกับ AOT อย่างจริงจัง รวมไปถึงอาจเป็นเพียงแค่การ “ส่งสัญญาณว่าจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้ทั้งคู่ยังสามารถทำธุรกิจรวมกันได้ต่อไป”
แต่เมื่อมีการประเมินว่า ปัญหาที่เกิดจาก King Power จะส่งผลกระทบต่อรายได้ของ AOT ประมาณ 9,700 ล้านบาท หรือ 12% ของรายได้รวม ดังนั้น กรณีของ King Power จึงส่งผลต่อความมั่นใจของนักลงทุน จนส่งผลให้ราคาหุ้นของ AOT ปรับร่วงลงไปแตะจุดต่ำที่สุดในรอบ 10 ปีอย่างที่เห็น
คราวนี้มาว่ากันถึงสาหตุที่ทำให้ราคาหุ้นของ AOT สามารถฟื้นขึ้นมาจากจุดต่ำสุด ซึ่งหากให้เจ๊เมาธ์ประเมินตามหน้างานจริง ก็จะพบว่า ประเด็นที่ทำให้ราคาหุ้น AOT ฟื้นขึ้นมาส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการตีความของบรรดาสำนักวิเคราะห์ต่างๆ ที่อาจ “ตามกระแส”
โดยการมองในแง่ร้ายที่สุด (Worst Case) เอาไว้ว่า King Power น่าจะอยู่ไม่ได้ จะต้อง “ถอย” จนส่งผลกระทบไปยัง AOT ซึ่งแม้กรณีที่ว่านี้จะยังไม่เกิดขึ้นจริง แต่การ “คาดเดา” ในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ก็ได้ส่งผลให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น จนเทขายหุ้น AOT ออกมาอย่างหนัก จนกระทั่งมีความชัดเจนว่าทั้ง King Power และ AOT ได้เดินหน้าเจรจาเพื่อหาทางออกรวมกัน จึงเริ่มมีการช้อนซื้อหุ้นของ AOT กันอีกครั้ง จนราคาหุ้นขยับขึ้นมาอย่างที่เห็น
ขณะเดียวกัน นับตั้งแต่จบปัญหาการระบาดของเชื้อ Covid-19 ก็ดูเหมือนผลการดำเนินงานของ AOT เริ่มกลับมาดูดี โดยในปี 2566 มีกำไร 8,790 ล้านบาท ปี 2567 มีกำไร 19,182 ล้านบาท และ 6 เดือนแรกของปีนี้ พบว่า บริษัทฯ มีกำไรอีก 10,397 ล้านบาท ซึ่งก็เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
อีกเรื่องที่เจ๊เมาธ์อดที่จะพูดถึงไม่ได้ ก็คือ กรณีของการแต่งตั้ง “ปวีณา จริยฐิติพงศ์” ซึ่งปัจจุบันมีอายุ 46 ปี และผู้หญิงคนแรกที่อายุน้อยที่สุด ที่นั่งเก้าอี้รักษาการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT แทนผู้บริหารคนเดิมที่ลาออกไป ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นด้วยคุณสมบัติส่วนบุคคลไม่ว่าจะเป็นประวัติการทำงาน ระดับการศึกษา รวมไปถึงอายุ ที่มีแนวโน้มว่าจะส่งผ่านให้ AOT กลายเป็นองค์กรที่ทันสมัยมากขึ้น ถือเป็นอีกเรื่องที่เจ๊เมาธ์มองว่า บอร์ดของ AOT ตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า AOT จะผ่านพ้นเรื่องหนักๆ และแรงกดดันมหาศาลมาได้แล้ว แต่ผลการดำเนินงานที่ผูกอยู่กับปัจจัยทางเศรษฐกิจของประเทศ และ ของโลก รวมไปถึงผูกโยงไปถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ แน่นอนว่า ปัญหาเนื่องจากการระบาดของเชื่อ Covid-19 ยังจะตามหลอกหลอน ทำให้ AOT อาจยังต้องเหนื่อยต่อไปอีกนาน
ก็อย่างว่า...การเป็นบริษัทใหญ่ที่ผูกโยงด้วยกลุ่มผลประโยชน์จำนวนมาก และหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ที่หลากหลาย มันก็ทำให้การทำงาน และการประสานงานมีหลายปัญหา ยิ่งตัวใหญ่ก็ยิ่งปัญหามาก...เรื่องมันก็แค่นั้นเองเจ้าค่ะ
คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์