KEY
POINTS
*** ขณะนี้เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก่อนจะถึงวันที่ 1 ส.ค. 68 ซึ่งสหรัฐอเมริกาขีดเส้นว่า จะเริ่มต้นเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) จากทุกประเทศที่ส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ รวมไปถึงจะเก็บกับประเทศไทยในอัตรา 36% ซึ่งถือว่าสูงกว่าหลายประเทศโดยเฉพาะคู่แข่งในภูมิภาค
แต่ขณะเดียวกัน ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ดัชนีหุ้นไทย กลับมาเป็นขาขึ้นในอัตราส่วนที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ทำให้เกิดคำถามว่าขณะนี้ดัชนีหุ้นไทยจึงกลับมาเป็นขาขึ้นแล้วจริงหรือ???
แม้ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการ “หักปากกาเซียน” เพราะในวันที่ดัชนีหุ้นไทยร่วงแรง เหล่า กูรู้ กูรู เซียนหุ้น หรือ นักวิเคราะห์จากหลายสำนักออกมา “โชว์รู้” โดยระบุว่า ถ้าดัชนีหุ้นไทยหลุดเท่านั้นจะไปเท่านี้ หรือหลุดจากจุดนี้จะลงไปทดสอบจุดนั่นโน้นนี่ ลากยาวไปจนถึงกับบอกว่าตลาดหุ้นไทยหมดอนาคต หรือ บอกให้ทิ้งตลาดหุ้นไทยไปเลยก็มี
แต่ขณะเดียวกัน ก็มีบางคน หรือ บางสำนักที่บอกว่า การที่ดัชนีหุ้นไทยสามารถยืนระยะอยู่ได้ ทั้งที่มีแต่ข่าวร้าย ถือว่าตลาดหุ้นไทย “ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว” หมายความว่า ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสที่จะฟื้นกลับมาและไปต่อ
ว่าแต่การที่ดัชนีหุ้นไทยกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้งในรอบนี้...นักวิเคราะห์สำนักต่างๆ มีมุมมองอย่างไรกันบ้าง
บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นเนล มองว่า ข้อเสนอการปรับอัตราภาษีของประเทศไทยต่อสหรัฐอเมริกา ไม่น่าจะได้รับการยอมรับมากนัก ดังนั้นจึงคาดว่า อัตราภาษี 36% จะลดลงไม่มาก โดยรัฐบาลกล่าวว่ามีแผนที่จะเพิ่มจำนวนผลิตภัณฑ์จากสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าประเทศไทยจาก 63-64% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์เป็น 69%
และคาดว่า ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปทดสอบแนวต้านของกรอบแนวโน้มขาขึ้นที่ 1,160 หลังจากปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุผ่านแนวต้านที่ 1,144 ขึ้นไป แต่เราคาดว่า แนวโน้มในระยะสั้นมีโอกาสถูกขายทำกำไรที่แนวต้าน 1,160 โดยมีแนวรับที่ 1,150 และ 1,144 ถ้าย้อนกลับลงไปต่ำกว่า 1,144 จะมีโอกาสปรับตัวลดลงต่อเนื่องไปทดสอบแนวรับที่ 1,130 จุด สนใจหุ้น อย่าง PTTEP และ PSL
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง คงมุมมอง SET เป็นขาขึ้น แต่มีแนวต้านสำคัญทางจิตวิทยาบริเวณ 1,200 จุด ประเมินตลาดรับข่าวบวกจากความคาดหวังการเจรจาการค้าสหรัฐ – ไทยบางส่วน ผสานกับหุ้นที่คาดจะรายงานงบ 2Q25 กลุ่มได้ประโยชน์ดอกเบี้ยลง กลุ่ม Reopening & China play (เก็ง Politburo) หุ้นที่หนุนดัชนีหลักๆคือ DELTA , AOT (จากความคาดหวัง Upside จากการขึ้นค่า PSC (ค่าธรรมเนียมผู้โดยสาร) และการเจรจาสัญญา King Power) กลุ่มพลังงาน GULF, PTT, PTTEP
บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง มองว่า การที่รัฐมนตรีคลังหารือกับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ซึ่งไทยเสนอการลดภาษีสินค้าให้สหรัฐฯ เป็น 0% หลายหมื่นรายการ (คาดไม่ต่ำกว่า 90% ของทั้งหมด) โดยประเมินความคืบหน้าการเจรจาของไทย อาจเป็น Slightly Positive ต่อหุ้นกลุ่มส่งออก และนิคมฯ (DELTA HANA CCET STA NER TU ITC AAI WHA AMATA) ได้บ้าง แต่การขาดความชัดเจน ก็อาจเป็น Sentiment ที่ฉุดรั้งเช่นกัน จึงแนะนาเน้นลงทุนระยะสั้นแบบจับจังหวะตลาด และกระแสข่าวในหุ้นกลุ่มนี้
บล.พาย ระบุว่า ในช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวผันผวนเนื่องจากยังกังวลอัตราภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐฯ ที่ประกาศเรียกเก็บจากประเทศคู่ค้า ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. นี้ สำหรับไทยถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% สูงกว่าประเทศคู่แข่งสำคัญในกลุ่มอาเซียน ทำให้ไทยมีโอกาสสูญเสียความสามารถในกำรแข่งขัน และกดดันให้ GDP อาจเติบโตชะลอตัวได้ ประเมิน SET ที่บริเวณต่ำกว่า 1100 จุดคิดเป็น PER ปี 2568 ต่ำกว่า 12 เท่า ยังเป็นจุดที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว กลยุทธ์ลงทุนคงแนะนำให้ “Selective Buy”
ในมุมมองของเจ๊เมาธ์ เจ๊มองว่า การที่ทฤษฎีเรื่องเทคนิค เรื่องกราฟ หรือ อินดิเคเตอร์ต่างๆ อาจไม่ศักดิ์สิทธิ์เหมือนเดิม เนื่องจากตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นโคตรเซียนผู้มีชื่อเสียง นักวิเคราะห์เทคนิค นักลงทุนรายย่อย หรือ แม้แต่นักเรียนมัธยมที่สนใจศึกษา ก็เข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้เช่นกัน
ขณะที่เรื่องของตัวเลขพื้นฐานทางบัญชีของหลายบริษัท ซึ่งแม้จะผ่านการตรวจสอบจากนักบัญชี ไม่ว่าจะระดับไหน ก็ใช่ว่าจะเป็นของจริง...เอาแค่เรื่องของบริษัทที่เกิดมาเพื่อดูดเงินอย่าง STARK ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน
นอกจากนี้ นับตั้งแต่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ซึ่งเอาแน่นอนอะไรไม่ได้...ทำให้ข้อมูลข่าวสารทั้งเรื่องเศรษฐกิจ และภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก จะถูกปรับไปเปลี่ยนมาเป็นรายชั่วโมงเลยทีเดียว
หมายความว่า การจะใช้ข้อมูลเชิงเดี่ยวมาวิเคราะห์เรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือการที่จะเชื่อใครคนใด หรือ เชื่อสำนักใดน่าจะใช้ไม่ได้ และไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องอีกต่อไปอีกแล้ว!!!
อย่างไรก็ตาม สำหรับตลาดหุ้นไทยหากมองโดยภาพรวมแล้วปัญหาในระยะสั้น ยังคงเป็นประเด็นเรื่องภาษีศุลกากร ที่สหรัฐฯ ประกาศว่าจะเก็บจากไทยในอัตรา 36% ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่ารัฐบาลไทยจะเจรจาเพื่อปรับลดลงได้สำเร็จหรือไม่ หรือ หากได้ปรับลงแล้วจะเหลืออยู่ที่เท่าไหร่
เพราะถ้าหากอัตราที่ไทยต้องจ่าย ไม่สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งในอาเซียนอย่าง เวียดนาม และ อินโดนีเซีย ก็จะทำให้ไทยต้องสูญเสียตลาดส่งออกอย่างสหรัฐฯ รวมไปถึงจะส่งผลกระทบตามมาอีกจำนวนมาก และหากวันนั้นมาถึงจริงดัชนีหุ้นไทยที่ปรับขึ้นมาในตอนนี้อาจกลับลงไปต่ำกว่าที่เป็นเคยต่ำมาแล้วก็เป็นได้
แน่นอนว่า ตอนนี้เรื่องของภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ถือเป็นตัวแปรต้นๆ โดยในระยะสั้นปัจจัยอื่นๆ อาจจะยังไม่ถูกจับเอามาคิด ส่วนจะเป็นอย่างไร หรือ จะกระทบอะไรอีกบ้าง เศรษฐกิจของประเทศจะเดินหน้า หรือ ถอยหลังไปในทิศทางไหน จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย และดัชนีหุ้นไทยอย่างไร....อีกไม่นานก็คงได้รู้กันแล้วเจ้าค่ะ
คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์